สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ เลย เกี่ยวกับเรื่อง ‘คำขวัญวันเด็ก’ เนี่ยแหละครับ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนนะ แค่อยากเล่าสู่กันฟังตามประสาคนชอบจดบันทึกเรื่องราวรอบตัว
คือต้องบอกเลยว่า สมัยก่อนนู้นนน ตอนเรายังไม่ได้มีลูกมีหลานเป็นของตัวเองเนี่ย คำขวัญวันเด็กมันก็เหมือนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอะนะ ได้ยินตามทีวีบ้าง ตามโรงเรียนบ้าง ก็เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย คิดแค่ว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ต้องมีทุกปี

แต่พอมีเจ้าตัวเล็กเข้าบ้านเท่านั้นแหละ โอ้โห เรื่องมันเริ่มเลยครับท่านผู้ชม! ปีแรกๆ ที่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนเนี่ย ก็จะมีการบ้านเป็นการท่องคำขวัญวันเด็กนี่แหละครับ ตอนนั้นผมก็ยังงงๆ นะ เอ๊ะ เราต้องทำอะไรบ้างวะเนี่ย
ช่วงเริ่มต้นของการเป็นผู้ช่วยสอนคำขวัญ
ผมก็เริ่มจากการไปหาข้อมูลก่อนเลยว่าปีนี้คำขวัญว่าอะไร ใครเป็นคนให้ พยายามทำความเข้าใจความหมายของมันก่อน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วจะไปสอนลูกได้ยังไงถูกไหมครับ
จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการถ่ายทอดให้เจ้าตัวเล็กฟัง ตอนแรกๆ ก็ยากเหมือนกันนะ เพราะคำบางคำมันก็ดูเป็นทางการ ดูเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าที่เด็กอนุบาล หรือประถมต้นจะเข้าใจได้ง่ายๆ
- ขั้นที่ 1: อ่านให้ฟังแบบชัดๆ: ผมจะอ่านคำขวัญให้ลูกฟังก่อนเลย ช้าๆ ชัดๆ ทีละวรรค ให้เขาคุ้นหูกับคำเหล่านั้น
- ขั้นที่ 2: อธิบายความหมายแบบบ้านๆ: อันนี้สำคัญมาก ผมจะพยายามไม่ใช้ศัพท์วิชาการอะไรเลย แปลงสารจากคำขวัญให้เป็นเรื่องใกล้ตัวเขาที่สุด ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าคำขวัญบอกว่า ‘เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง’ ผมก็จะบอกลูกว่า ‘เนี่ย ถ้าหนูตั้งใจเรียนหนังสือ อ่านหนังสือเก่งๆ โตขึ้นไปหนูก็จะเก่ง ทำงานดีๆ ได้ ประเทศเราก็จะมีคนเก่งๆ เยอะแยะเลยนะลูก มันก็จะทำให้บ้านเมืองเราแข็งแรง ไม่มีใครมารังแกได้ง่ายๆ’ อะไรทำนองนี้แหละครับ พยายามโยงให้เห็นภาพมากที่สุด
- ขั้นที่ 3: ท่องตามทีละท่อน: พอเริ่มเข้าใจความหมายคร่าวๆ แล้ว ก็จะเริ่มให้เขาท่องตามทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต้องรีบร้อน ผิดก็แก้กันไป สนุกๆ
- ขั้นที่ 4: ท่องรวมกัน: พอเริ่มจำได้บ้างแล้ว ก็ลองท่องไปพร้อมๆ กันทั้งพ่อทั้งลูก มันก็เป็นกิจกรรมที่ได้ใช้เวลาร่วมกันดีนะ
สิ่งที่ผมค้นพบระหว่างทาง
ตอนแรกก็คิดแค่ว่าทำตามหน้าที่ผู้ปกครองแหละ แต่พอทำไปทุกๆ ปี ผมเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างในคำขวัญเหล่านี้เหมือนกันนะ
หนึ่งคือ มันเป็นเหมือนกระจกสะท้อนสิ่งที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยากจะปลูกฝังให้กับเด็กๆ ในแต่ละยุคสมัย ถึงแม้บางทีมันจะดูเป็นนามธรรมไปบ้าง แต่แก่นของมันก็คืออยากให้เด็กๆ เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
สองคือ มันกลายเป็นโอกาสให้ผมได้นั่งคุยกับลูกในเรื่องที่มันอาจจะดูจริงจังขึ้นมาหน่อย แต่เราก็ทำให้มันไม่น่าเบื่อได้ด้วยการยกตัวอย่าง หรือเล่าเรื่องประกอบ บางทีก็แอบสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมง่ายๆ เข้าไปด้วยเลย
สามคือ ผมเห็นพัฒนาการของลูกผ่านการท่องคำขวัญนี่แหละ จากตอนแรกที่ยังพูดไม่ชัด ท่องตะกุกตะกัก จนเริ่มคล่องขึ้น เริ่มเข้าใจความหมายมากขึ้น มันก็เป็นความภูมิใจเล็กๆ ของคนเป็นพ่อนะครับ

จนถึงปัจจุบัน
ทุกวันนี้ เวลาใกล้ถึงวันเด็ก ผมก็จะเริ่มมองหาแล้วว่าปีนี้คำขวัญคืออะไร กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ถึงแม้ลูกจะโตขึ้น เริ่มเข้าใจอะไรๆ ได้เองมากขึ้น แต่ผมก็ยังชอบที่จะนั่งคุย นั่งอธิบายความหมายของคำขวัญให้เขาฟังอยู่ดี ถือซะว่าเป็นการทบทวนและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปในตัว
ผมว่าแก่นแท้ของมันคือการ ปลูกฝังสิ่งดีๆ มากกว่าการท่องจำคำสวยๆ นะครับ การที่เราได้ใช้เวลากับลูก พยายามอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เขาเข้าใจด้วยภาษาของเขาเอง นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม
ก็เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เอามาแชร์กันครับ ไม่รู้ว่าบ้านอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า แต่สำหรับบ้านผมแล้ว คำขวัญวันเด็กมันก็มีความหมายมากกว่าแค่ตัวอักษรที่เรียงต่อกันจริงๆ ครับ
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments