จุดเริ่มต้นเรื่องวุ่นๆ กับนิทานเด็ก
สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลย เรื่องมันเริ่มมาจากเจ้าตัวเล็กที่บ้านนี่แหละครับ คืออยากให้แกได้ภาษาอังกฤษบ้าง เห็นใครๆ เขาก็ให้ลูกเรียนพิเศษกัน จ้างครูมาสอนตัวต่อตัวบ้าง แต่ผมมันพวกงบน้อย แล้วก็คิดว่าเด็กเล็กๆ เนี่ย ถ้าจับไปนั่งเรียนอะไรเครียดๆ แต่แรก มันจะพาลเกลียดภาษาไปเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้
ความพยายามครั้งแรกๆ ที่เหมือนจะดีแต่ก็แป้ก

ตอนแรกก็ไฟแรงครับ คิดว่าเออ ซื้อหนังสือนิทานภาษาอังกฤษสวยๆ แพงๆ จากร้านใหญ่ๆ มาอ่านให้ฟังทุกคืน เดี๋ยวก็คงซึมซับไปเองแหละน่า จัดไปเลยครับหลายเล่ม เปิดอ่านคืนแรก โอ้โห… ภาพมันสวยจริงนะ แต่เนื้อเรื่องนี่สิครับ ยาวเป็นหน้าๆ แถมศัพท์ก็ยากซะเหลือเกิน ขนาดเราเองอ่านไปยังต้องหยุดคิดเลยว่าแปลว่าอะไร แล้วเจ้าตัวเล็กจะไปเหลืออะไรล่ะครับ ไม่ถึงห้านาที หันไปคว้าของเล่นอย่างอื่นแล้ว พ่อมันก็อ่านเก้อไปสิครับ
ยังครับ ยังไม่ยอมแพ้ ลองเปลี่ยนแผนใหม่ ไปส่องๆ ดูพวกแอปพลิเคชันสอนภาษาในมือถือ หรือไม่ก็เปิดยูทูบหาการ์ตูนนิทานภาษาอังกฤษให้ดู ก็มีเยอะแยะนะ ดูฟรีก็เยอะ แต่เจอปัญหาอีกแล้วครับ บางช่องเสียงคนเล่ามันเบาไปบ้าง พูดเร็วไปบ้าง เด็กฟังไม่ทัน หรือบางทีภาพมันไม่ค่อยดึงดูดเด็กเท่าไหร่ ที่หนักสุดคือเจอโฆษณาคั่นบ่อยมาก กำลังอินๆ กับเรื่อง โฆษณามาปุ๊บ จบเลย อารมณ์ค้างกันไป สรุปคือ วิธีนี้ก็ยังไม่ค่อยได้ผลกับลูกผมเท่าไหร่ ทำไปได้พักนึงก็เลิก เพราะลูกไม่เอาด้วย
จุดเปลี่ยน… เมื่อลองทำอะไรบ้านๆ ที่ไม่คิดว่าจะเวิร์ค
ผมก็เริ่มท้อใจละครับ คิดในใจว่าสงสัยลูกเรามันจะไม่ถูกกับภาษาอังกฤษจริงๆ มั้ง หรือเรามันไม่มีหัวในการสอนเองวะ จนวันนึงเนี่ย ผมกำลังจัดห้องเก็บของเก่าๆ ก็ไปเจอกองหนังสือนิทานภาพภาษาไทยเล่มบางๆ ที่เคยซื้อไว้ให้ลูกตอนแกยังเล็กกว่านี้อีก เป็นพวกภาพง่ายๆ สีสันสดใส เนื้อเรื่องก็สั้นๆ ไม่ซับซ้อน ผมหยิบขึ้นมาพลิกๆ ดู แล้วจู่ๆ มันก็มีไอเดียแวบเข้ามาในหัวเลยครับ
ลงมือปฏิบัติการ “นิทานแปลงร่าง”
ผมลองหยิบนิทานภาพภาษาไทยพวกนั้นแหละครับ มานั่งข้างๆ เจ้าตัวเล็ก แล้วก็เริ่ม “ด้นสด” เลย คือดูภาพไป แล้วก็เล่าเรื่องนั้นเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออกตอนนั้นเลยครับ ไม่ได้แปลตรงตัวเป๊ะๆ ตามหนังสือนิทานไทยนะครับ แต่เน้นจับใจความสำคัญของแต่ละหน้า แล้วก็เล่าออกมาเป็นภาษาอังกฤษคำง่ายๆ ที่เด็กน่าจะพอเดาได้ หรือเคยได้ยินมาบ้าง
- เน้นคำศัพท์พื้นฐาน: อย่างเช่นเห็นรูปหมา ก็พูด “Look! A dog. A big dog.” ชี้ไปที่รูปแมว ก็ “Oh, a cat! The cat says meow.” อะไรแบบนี้เลย
- ใช้ประโยคสั้นๆ กระชับๆ: ไม่ต้องยาวเหยียดเอาแกรมม่าเป๊ะ เอาแค่สื่อสารรู้เรื่อง “The boy is running.” “The girl is happy.”
- ใส่แอคติ้งจัดเต็ม: อันนี้สำคัญมาก ผมทำเสียงสูงเสียงต่ำ ทำท่าทางประกอบให้มันดูตลกๆ เวอร์ๆ เข้าไว้ เด็กมันจะชอบมาก หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเลย
- ชวนคุย ถามคำถามง่ายๆ: พอเล่าไปสองสามหน้า ก็ลองถาม “What color is the dog?” หรือ “Is the cat sleeping?” ถึงตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็ชี้แล้วบอกคำตอบไป
เชื่อมั้ยครับ ตอนแรกๆ เขาก็งงๆ มองหน้าผมสลับกับมองหนังสือ แต่พอผมทำซ้ำๆ ทุกวัน เอาเล่มเดิมๆ มาเล่าบ้าง เปลี่ยนเล่มใหม่บ้าง แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือ เล่าด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ ของเราเองนี่แหละ บวกกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้งเข้าไป เจ้าตัวเล็กเริ่มเก็ทครับ เริ่มชี้ภาพตาม เริ่มพยายามออกเสียงตามคำที่เราพูดบ่อยๆ ผิดบ้างถูกบ้างก็ช่างมัน ผมเน้นให้เขาสนุกไว้ก่อน
ผลลัพธ์ที่ทำให้หายเหนื่อย

ปรากฏว่าวิธีนี้มันเวิร์คกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ! จากเด็กที่ไม่เคยสนใจฟังนิทานภาษาอังกฤษเลย กลายเป็นว่าพอถึงเวลาก็จะมานั่งรอให้เรา “เล่านิทานแปลงร่าง” ให้ฟัง เขาเริ่มจำคำศัพท์พื้นฐานได้เยอะขึ้นเองแบบไม่รู้ตัว เริ่มเข้าใจประโยคคำสั่งง่ายๆ ที่เราพูดบ่อยๆ ที่สำคัญที่สุดคือ เขารู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันเป็นเรื่องสนุก ไม่ได้น่าเบื่อหรือยากอย่างที่เคยเจอมาตอนแรกๆ
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาแชร์ ก็แค่อยากจะบอกว่า บางทีการสอนภาษาให้เด็กเล็กๆ เนี่ย มันอาจจะไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรูหรา ราคาแพง หรือต้องเป็นครูมืออาชีพเสมอไปหรอกครับ การเริ่มต้นจากอะไรง่ายๆ ใกล้ตัวเรานี่แหละ ถ้าเราใส่ความสนุก ใส่ใจลงไป มันก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดก็ได้ ลองเอาวิธีของผมไปปรับใช้กันดูได้นะครับ ไม่เสียหายอะไร เผื่อจะค้นพบวิธีที่ใช่สำหรับลูกคุณเหมือนที่ผมเจอครับ
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments