สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับความหมายของคำว่า “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่ผมได้ลองขบคิดและเอามาปรับใช้กับตัวเองดู ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนะครับ แต่อยากเล่าสู่กันฟังแบบบ้านๆ จากสิ่งที่เจอมากับตัว

จุดเริ่มต้นของการขบคิด

เรื่องของเรื่องคือวันก่อนนู้นนน่ะครับ นั่งเล่นๆ อยู่ดีๆ คำว่า “เด็กเลี้ยงแกะ” มันก็ผุดขึ้นมาในหัวเฉยเลย ทั้งๆ ที่ก็เป็นนิทานที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ นะ แต่ไม่รู้ทำไมวันนั้นถึงรู้สึกอยากจะลองทำความเข้าใจความหมายของมันให้ลึกซึ้งกว่าเดิม

จากความเข้าใจแบบเด็กๆ สู่การมองในมุมใหม่

ตอนแรกเลยนะ ถ้าพูดถึง “เด็กเลี้ยงแกะ” ภาพในหัวผมก็คือ เด็กคนนึงที่ทำหน้าที่เลี้ยงแกะจริงๆ นั่นแหละครับ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้นเลย คือเข้าใจตามตัวอักษรเป๊ะๆ แต่พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เริ่มเจอผู้คนหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เริ่มเห็นอะไรต่อมิอะไรในสังคม มันก็ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดว่า เอ๊ะ! หรือจริงๆ แล้วมันมีความหมายที่ซ่อนอยู่มากกว่าแค่เรื่องเด็กกับฝูงแกะนะ

ลองสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัว

ผมเริ่มจากการลองนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ของตัวเองก่อนเลยครับ ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าสมัยเด็กๆ หรือวัยรุ่นเนี่ย ก็มีบ้างที่เคยพูดอะไรไม่จริง หรือโม้เกินจริงไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร? ก็คือพอเราทำแบบนั้นบ่อยๆ เข้า ความน่าเชื่อถือ ของเรามันก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนบางทีพอเราพูดความจริงขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นว่าคนอื่นเขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อเราแล้ว

ทีนี้ ผมก็ลองมองไปรอบๆ ตัวบ้าง สังเกตพฤติกรรมของคนที่รู้จัก หรือแม้กระทั่งเรื่องราวที่เห็นตามข่าวสารต่างๆ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นไปอีกครับ

• บางคนชอบพูดจาโอ้อวดเกินจริงเป็นประจำ ตอนแรกๆ คนก็อาจจะตื่นเต้นสนใจ แต่พอจับได้บ่อยๆ เข้า หลังๆ มานี้กลายเป็นว่าไม่มีใครอยากจะฟัง หรือให้ความสำคัญกับคำพูดของเขาอีกเลย
• หรือบางกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น คือการโกหกจนเป็นนิสัยเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง สุดท้ายพอความจริงปรากฏ คนรอบข้างก็ตีตัวออกห่าง เพราะรู้สึกว่าถูกหลอกลวง ไม่สามารถไว้ใจได้อีกต่อไป

มันทำให้ผมนึกถึงฉากในนิทานเลยครับ ตอนที่เด็กเลี้ยงแกะตะโกนหลอกชาวบ้านว่าหมาป่ามา พอชาวบ้านมาช่วยก็หัวเราะชอบใจ ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งหมาป่ามาจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะตะโกนขอความช่วยเหลือสุดเสียง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อและไม่มีใครมาช่วยอีกแล้ว เพราะทุกคนคิดว่าเด็กคนนี้โกหกเหมือนเคย

“เด็กเลี้ยงแกะ” ในความหมายที่ผมเข้าใจและนำมาใช้

จากที่ได้ลองสังเกตและทบทวนดูแล้ว สำหรับผม ความหมายของ “เด็กเลี้ยงแกะ” มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโกหกคำโตๆ เท่านั้นนะครับ แต่มันรวมไปถึง

• การพูดจาไม่น่าเชื่อถือเป็นประจำ: เช่น ชอบพูดกลับไปกลับมา เปลี่ยนคำพูดบ่อยๆ หรือให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงซ้ำๆ
• การสร้างเรื่องราวเกินจริง: เพื่อให้ตัวเองดูดี หรือเพื่อให้คนอื่นสนใจ แม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่ได้ทำร้ายใครโดยตรง แต่มันก็บั่นทอนความไว้วางใจในระยะยาว
• การไม่รักษาสัญญา: รับปากอะไรไว้แล้วทำไม่ได้บ่อยครั้ง ก็เข้าข่ายนี้ได้เหมือนกันครับ

ผมเลยเริ่มเอาบทเรียนนี้มาเตือนสติตัวเองอยู่เสมอครับ คือ

1. พยายามพูดความจริงให้มากที่สุด: ถึงแม้บางครั้งความจริงมันอาจจะไม่น่าฟัง หรืออาจจะทำให้เราดูไม่ดีในตอนนั้น แต่ในระยะยาวมันดีกว่าการสร้างเรื่องโกหกแน่นอนครับ เพราะความลับไม่มีในโลก และการถูกจับได้ว่าโกหกมันเสียความรู้สึกมากกว่าเยอะ

2. คิดก่อนพูดเสมอ: โดยเฉพาะเรื่องที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเรา ถ้าไม่แน่ใจ หรือยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ก็เลือกที่จะยังไม่พูด หรือบอกไปตามตรงว่ายังไม่ทราบ ดีกว่าพูดอะไรออกไปแล้วกลายเป็นข้อมูลเท็จ

3. รักษาสัญญาและคำพูด: ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ก็อย่าเพิ่งรับปาก เพราะการผิดสัญญาบ่อยๆ มันก็เหมือนกับการตะโกนว่า “หมาป่ามา” นั่นแหละครับ

บทสรุปจากการปฏิบัติจริง

พอผมเริ่มเอาหลักคิดง่ายๆ แบบนี้มาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเอง สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือเรารู้สึกสบายใจขึ้นครับ ไม่ต้องคอยมานั่งจำว่าเคยพูดอะไรกับใครไว้บ้าง ไม่ต้องคอยกังวลว่าเรื่องที่เราแต่งขึ้นจะถูกจับได้เมื่อไหร่ และที่สำคัญที่สุดคือคนรอบข้างเขาก็เริ่มให้ความเชื่อถือและไว้วางใจในสิ่งที่เราพูดมากขึ้นจริงๆ

แน่นอนว่าการเป็นคนตรงไปตรงมา บางทีมันก็อาจจะดูขัดใจคนอื่นบ้างในบางสถานการณ์ แต่ผมเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ นี่แหละครับที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เราจะสร้างและรักษาไว้ได้ การไม่เป็น “เด็กเลี้ยงแกะ” ในสายตาคนอื่น มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่อยากเอามาแชร์นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อย ลองเอาไปปรับใช้กันดูได้นะครับผม!

ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ