สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงที่ได้ไปลองใช้แอปสอนภาษาอังกฤษให้ลูกสาวตัวแสบที่บ้าน นั่นก็คือ Palfish นั่นเอง หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ หรือกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่ว่ามันดีไหม ราคาเป็นยังไง วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบบ้านๆ จากที่ลองใช้จริงเลยครับ
จุดเริ่มต้นของการลอง Palfish
เรื่องของเรื่องก็คือ ลูกสาวผมเนี่ย ภาษาอังกฤษที่โรงเรียนก็งูๆ ปลาๆ ครับ กลับมาบ้านถามอะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ผมกับภรรยาก็เลยคิดว่าเออ…น่าจะหาที่เรียนพิเศษภาษาอังกฤษให้ลูกหน่อย แต่ด้วยความที่งานเราสองคนก็ยุ่งใช่เล่นเลย จะให้ขับรถไปรับไปส่งตามสถาบันต่างๆ ตอนเย็นๆ หรือวันเสาร์อาทิตย์ก็ดูจะเหนื่อยเกินไปหน่อย
ก็เลยลองๆ ค้นหาในอินเทอร์เน็ตนี่แหละครับ พิมพ์ไปเลย “สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ เด็ก” อะไรทำนองนี้ ก็เจอขึ้นมาหลายเจ้าเลย หนึ่งในนั้นก็มีชื่อ Palfish โผล่มาด้วย ตอนแรกก็ดูๆ รีวิวผ่านๆ เห็นมีทั้งคนชม คนติ ก็เลยคิดว่า เอาน่า…ลองเองเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปเลย
ขั้นตอนการลองใช้งานจริง
ผมก็เริ่มจากโหลดแอป Palfish มาลงในแท็บเล็ตก่อนเลยครับ หน้าตาแอปก็ดูใช้ง่ายดีนะ ไม่ซับซ้อนอะไรมาก จากนั้นก็สมัครสมาชิก กรอกข้อมูลของลูกสาวไปนิดหน่อย พวกอายุ ระดับภาษาอังกฤษเบื้องต้นที่พอมี
พอเข้าไปในแอป โอ้โห…ครูเยอะมากครับ มีให้เลือกเพียบเลย ทั้งครูฝรั่งเจ้าของภาษาจริงๆ จากอเมริกา อังกฤษ แคนาดา แล้วก็มีครูจากฟิลิปปินส์ด้วย ตอนแรกก็เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเอาครูแบบไหนดี
ผมก็เลยตัดสินใจว่า ลองจองคลาสทดลองเรียนดูก่อนดีกว่า มันจะมีให้ทดลองเรียนฟรี หรือบางทีก็มีโปรโมชั่นคลาสทดลองราคาถูกๆ ผมก็เลือกแบบนั้นแหละครับ เอาแบบสั้นๆ สัก 25 นาทีพอก่อน กลัวลูกไม่ชอบแล้วจะเสียดายตังค์ถ้าลงคลาสยาวๆ ไปเลย
ประสบการณ์เรียนครั้งแรก (และครั้งต่อๆ มา)
พอถึงเวลาเรียนครั้งแรก ลูกสาวก็ดูตื่นเต้นปนประหม่านิดหน่อยครับ ผมก็นั่งอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ ครูที่สอน (ผมเลือกครูฝรั่งไป) เขาก็พยายามชวนคุย ทักทาย ใช้ภาพประกอบ มีเพลงสั้นๆ บ้าง เกมง่ายๆ บ้าง ลูกผมตอนแรกก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ค่อยกล้าพูด แต่ครูเขาก็ใจเย็นครับ พยายามดึงให้ลูกมีส่วนร่วม
เรียนจบครั้งแรก ลูกสาวบอกว่า “สนุกดีค่ะ อยากเรียนอีก” เออ…เข้าท่าแฮะ ผมก็เลยลองให้เรียนต่ออีกหลายครั้ง เปลี่ยนครูไปบ้าง บางทีก็ลองครูฟิลิปปินส์ดูบ้างสลับกันไป
Palfish ดีไหม? ในมุมมองของผม
ถ้าถามว่า Palfish ดีไหม? ผมว่ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียนะ จากที่ได้ลองใช้มาสักพัก
ข้อดีที่เจอ:- สะดวกสุดๆ: อันนี้คือจุดเด่นเลยครับ เรียนจากที่บ้านได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แค่มีอินเทอร์เน็ตกับแท็บเล็ตหรือมือถือก็เรียนได้แล้ว
- เลือกครูได้หลากหลาย: มีครูให้เลือกเยอะจริงๆ ครับ เราสามารถดูโปรไฟล์ครู ดูวิดีโอแนะนำตัว หรือแม้กระทั่งอ่านรีวิวจากผู้ปกครองคนอื่นๆ ก่อนตัดสินใจได้ ถ้าเรียนกับคนนี้แล้วไม่คลิก ก็เปลี่ยนครูได้
- ยืดหยุ่นเรื่องเวลา: คลาสเรียนมีหลายช่วงเวลาให้เลือกครับ แล้วก็มีคลาสสั้นๆ 25 นาที ซึ่งผมว่าเหมาะกับเด็กเล็กที่สมาธิยังไม่ยาวมาก
- ได้ฝึกกับเจ้าของภาษา: การที่ลูกได้คุยกับครูฝรั่งจริงๆ ก็ช่วยเรื่องความคุ้นเคย กล้าพูดมากขึ้น แม้จะเป็นคำง่ายๆ ก็ตาม
- ปัญหาอินเทอร์เน็ต: อันนี้เจอบ้างครับ บางทีสัญญาณเน็ตฝั่งเราหรือฝั่งครูไม่ดี เสียงขาดๆ หายๆ ภาพกระตุก ก็ทำให้การเรียนไม่ราบรื่น ลูกก็หงุดหงิด
- คุณภาพครูอาจจะไม่สม่ำเสมอ: ถึงแม้จะมีครูให้เลือกเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ครูทุกคนจะสอนเก่งหรือมีเทคนิคแพรวพราวเท่ากัน บางคนก็อาจจะสอนเรื่อยๆ ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากนัก ต้องลองเลือกดูดีๆ ครับ
- ผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วม: โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ การเรียนออนไลน์อาจจะทำให้วอกแวกง่าย ผู้ปกครองก็อาจจะต้องนั่งประกบ คอยกระตุ้น หรือช่วยดูหน่อยในช่วงแรกๆ
- ไม่ใช่ยาวิเศษ: อย่าคาดหวังว่าเรียน Palfish แล้วลูกจะพูดอังกฤษไฟแลบได้ในพริบตา มันเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเสริมเท่านั้นครับ
แล้วเรื่องราคาล่ะ? แพงไหม?
มาถึงเรื่องสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือ ราคา
ราคาของ Palfish เนี่ย มันก็ไม่ได้มีราคาเดียวตายตัวครับ ส่วนใหญ่มันจะมาเป็นแพ็คเกจ ยิ่งซื้อจำนวนคลาสเยอะ ราคต่อคลาสก็จะถูกลงหน่อย ตอนผมลอง ผมก็เริ่มจากซื้อแพ็คเกจเล็กๆ ดูก่อนครับ ไม่กล้าทุ่มเงินก้อนใหญ่ เพราะยังไม่แน่ใจว่าลูกจะชอบจริงจังแค่ไหน
ถ้าเทียบกับการส่งลูกไปเรียนพิเศษตามสถาบันข้างนอก ผมว่าราคามันก็ใกล้เคียงกันนะ บางที Palfish อาจจะถูกกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าเราเลือกครูฟิลิปปินส์ ราคาก็จะย่อมเยาลงมาอีก แต่ถ้าเลือกครูฝรั่งเจ้าของภาษา ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ตอนนั้นผมก็ลองผสมๆ กันไปครับ ให้ลูกเรียนกับครูฝรั่งบ้าง ครูฟิลิปปินส์บ้าง ก็ต้องดูงบประมาณในกระเป๋าเราด้วยแหละครับว่าไหวแค่ไหน
โดยรวมผมว่าราคามันก็สมเหตุสมผลนะ กับความสะดวกสบายที่ได้ แล้วก็การที่ลูกได้มีโอกาสคุยกับชาวต่างชาติจริงๆ
สรุปส่งท้ายจากประสบการณ์ตรง
สรุปแล้ว Palfish ดีไหม ราคาเป็นยังไง? ส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ไม่ค่อยมีเวลาเดินทาง หรืออยากให้ลูกได้ลองฝึกพูดคุยกับชาวต่างชาติในบรรยากาศสบายๆ ที่บ้าน
แต่ก็อย่างที่บอกไปครับ มันไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษได้ในทันทีทันใด มันเป็นแค่เครื่องมือเสริมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้ว การที่เด็กจะเก่งภาษาได้ มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งตัวเด็กเอง ความสม่ำเสมอในการเรียนรู้ และที่สำคัญคือการสนับสนุนจากพ่อแม่ด้วย
เหมือนตอนผมพยายามจะหัดทำอาหารตามยูทูปใหม่ๆ นั่นแหละครับ ดูคลิปเป็นร้อยๆ คลิป แต่ถ้าไม่ลงมือทำเอง ผัดเอง ชิมเอง ปรุงเอง มันก็ไม่เป็นสักที การเรียนภาษาก็คล้ายๆ กันครับ ต้องให้ลูกได้ลอง ได้ใช้จริง ผิดบ้างถูกบ้างเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเอง
ทุกวันนี้ลูกสาวผมก็ไม่ได้เรียน Palfish ทุกวันแล้วครับ บางช่วงก็หันไปสนใจกิจกรรมอื่นแทน เช่น อยากไปเรียนเตะบอลซะงั้น ฮ่าๆๆ ก็ตามใจเค้าครับ อะไรที่ลูกมีความสุขและได้เรียนรู้ก็สนับสนุนกันไป หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับพ่อๆ แม่ๆ ที่กำลังมองหาคลาสเรียนภาษาอังกฤษให้ลูกอยู่นะครับ ลองพิจารณากันดูครับผม!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments