ใครๆ ก็อยากให้ลูกหลานเราเก่งภาษาอังกฤษใช่ไหมครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ ตอนแรกเลยนะ คิดว่า โอ๊ย สบายมาก เดี๋ยวสอนแป๊บเดียวก็พูดได้ปร๋อแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงนี่สิคุณเอ๊ย… มันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยสักนิด กว่าจะจับทางถูก ลองผิดลองถูกไปไม่รู้กี่รอบ วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ แบบลูกทุ่งๆ ของผมให้ฟังกันครับ
ช่วงเริ่มต้น: ความมึนและความคาดหวัง
จำได้เลยว่าตอนที่คิดจะเริ่มสอนภาษาอังกฤษให้เจ้าตัวเล็กที่บ้านเนี่ย ผมก็ไปสรรหาตำรามาเพียบเลยครับ ทั้งหนังสือภาพสีสวยๆ แฟลชการ์ดคำศัพท์ราคาไม่ใช่ถูกๆ กะว่าเอาวะ! เดี๋ยวเปิดให้ดูทุกวัน อ่านให้ฟังทุกคืน ลูกเราต้องซึมซับได้เองแน่ๆ คิดภาพไว้สวยหรูเลยว่าลูกจะชี้โน่นชี้นี่แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ในเร็ววัน

แล้วผลเป็นไงรู้ไหมครับ? เงียบกริบ! เจ้าตัวเล็กมองหนังสือภาพแว๊บๆ แล้วก็หันไปสนใจของเล่นชิ้นอื่นแทน แฟลชการ์ดนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย บางทีก็เอาไปอม บางทีก็ขยำเล่นซะยับเยิน ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าแอบท้อเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือน mình ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ทำไมมันไม่เห็นจะได้ผลเหมือนที่คนอื่นเขาว่ากันเลย
ลงมือปฏิบัติจริง: ช่วงลองผิดลองถูกอย่างจริงจัง
หลังจากเฟลไปพักใหญ่ ผมก็มานั่งคิดทบทวนใหม่ เออ… หรือว่าวิธีที่เราทำมันไม่เหมาะกับเด็กวะ? เด็กวัยนี้เขาสนใจอะไรกันแน่? จะให้มานั่งท่องศัพท์แบบผู้ใหญ่มันก็คงไม่ใช่ทางของเขา ผมเลยตัดสินใจโยนตำราทิ้งไปก่อน (จริงๆ ก็ไม่ได้ทิ้งหรอก แค่วางไว้เฉยๆ ฮ่าๆ) แล้วเริ่มสังเกตพฤติกรรมลูกอย่างจริงจัง
ผมเริ่มเปลี่ยนแนวทางใหม่หมดเลยครับ เน้นการทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแบบไม่ยัดเยียด ผมลองทำตามนี้ครับ:
- พูดคุยด้วยคำง่ายๆ: เวลาเล่นด้วยกัน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ผมจะพยายามสอดแทรกคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ เข้าไป เช่น เวลาเห็นหมา ก็จะชี้แล้วพูดว่า “Look! A dog!” หรือเวลากินข้าว ก็จะบอก “Yummy!” “Water, please.” แรกๆ ลูกก็ทำหน้างงๆ นะ แต่ผมก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจทันที
- ร้องเพลงภาษาอังกฤษ: อันนี้เวิร์คมาก! ผมเปิดเพลงเด็กภาษาอังกฤษคลอไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ตอนอาบน้ำ ตอนเล่น ตอนกินข้าว เพลงเด็กมันจะมีทำนองสนุกๆ คำศัพท์ซ้ำๆ เด็กจะเริ่มฮัมตามได้เองโดยไม่รู้ตัวเลยครับ
- อ่านนิทานภาพ (อีกครั้ง แต่คนละฟีล): คราวนี้ผมไม่เน้นอ่านตามตัวหนังสือเป๊ะๆ แล้วครับ แต่จะชี้ไปที่ภาพแล้วก็พูดคำศัพท์นั้นๆ หรือบรรยายสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ ทำเสียงสูงเสียงต่ำให้มันดูน่าตื่นเต้น บางทีก็แต่งเรื่องจากภาพไปเรื่อยเปื่อยเลย
- เล่นเกม: ผมเอาของเล่นมาผสมกับการสอนคำศัพท์ เช่น เล่นทายสี “What color is it?” แล้วให้ลูกหยิบของสีนั้นๆ หรือเล่นซ่อนหาแล้วให้พูดคำว่า “Found you!” อะไรทำนองนี้ ทำให้การเรียนรู้มันไม่น่าเบื่อ
สำคัญที่สุดเลยคือ ความสม่ำเสมอ ครับ ผมทำทุกวันจริงๆ วันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี ดีกว่าอัดเนื้อหาเยอะๆ แต่นานๆ ทำที อันนั้นเด็กจำไม่ได้หรอก
จุดเปลี่ยน: เมื่อเริ่มเห็นดอกผล
มีอยู่วันหนึ่งครับ เป็นวันที่ผมดีใจจนแทบกระโดดเลย ตอนนั้นผมกำลังชี้ไปที่รูปแมวในหนังสือ แล้วจู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็พูดออกมาว่า “แคท!” ชัดถ้อยชัดคำเลยครับ! โอ้โห…วินาทีนั้นคือแบบ ใจฟู มากๆ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดมันเริ่มเห็นผลแล้วจริงๆ
หลังจากคำว่า “แคท” คำแรก คำอื่นๆ ก็เริ่มตามมาทีละคำสองคำ จากคำเดี่ยวๆ ก็เริ่มเป็นวลีสั้นๆ เริ่มเข้าใจคำสั่งง่ายๆ ที่เราพูดเป็นภาษาอังกฤษ เช่น “Come here.” “Give me.” มันเป็นอะไรที่เป็นกำลังใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเรามากๆ เลยครับ
บทสรุปและสิ่งที่เรียนรู้จากการลงมือทำจริง
มาถึงวันนี้ ลูกผมก็ยังไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษระดับเทพอะไรหรอกนะครับ แต่เขากล้าพูด กล้าสื่อสาร ฟังเพลงภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องมีซับไทย ซึ่งสำหรับผมแค่นี้ก็ถือว่า ประสบความสำเร็จ ในระดับที่น่าพอใจแล้ว
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการสอนภาษาอังกฤษลูกด้วยตัวเองแบบบ้านๆ นี้ก็คือ:
- อย่ากดดันตัวเองและลูก: การเรียนรู้ภาษาต้องใช้เวลา เด็กแต่ละคนมีจังหวะของตัวเอง
- ทำให้เป็นเรื่องสนุก: ถ้าเด็กสนุก เขาจะอยากเรียนรู้เองโดยที่เราไม่ต้องบังคับ
- ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าปริมาณ: ทำทุกวัน วันละนิด สร้างความคุ้นเคยดีที่สุด
- พ่อแม่นี่แหละคือครูคนแรกที่ดีที่สุด: เราคือคนที่ใกล้ชิดลูกที่สุด สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ได้ง่ายที่สุด
ใครที่กำลังมองหาวิธีสอนภาษาอังกฤษให้ลูกๆ อยู่ ก็ลองเอาแนวทางของผมไปปรับใช้ดูได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องตามตำราเป๊ะๆ หรือซื้อคอร์สแพงๆ เสมอไป หาจุดที่มัน “คลิก” สำหรับครอบครัวเรา สำคัญคือลงมือทำจริงครับ เป็นกำลังใจให้ทุกบ้านนะครับ!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments