ใครๆ ก็ชอบพูดกันใช่ไหมครับว่าสอนภาษาให้เด็กๆ น่ะมันเรื่องหมูๆ ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ ฟังเขามาเยอะ ดูเหมือนง่าย พอมาลองลงมือทำกับลูกตัวเองจริงๆ โอ้โห…คนละเรื่องเลยครับ ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากอย่างที่เขาว่ากันเลย
ช่วงเริ่มต้นที่ท้อใจ
ตอนแรกเลยนะ ผมก็เหมือนพ่อแม่มือใหม่หลายๆ คนแหละครับ ไฟแรง! ไปซื้อหนังสือศัพท์มาเป็นตั้งๆ คิดว่าเออ…เดี๋ยวจับลูกมานั่งท่องศัพท์วันละสิบยี่สิบคำ ไม่นานก็คงพูดได้ปร๋อ ความเป็นจริงคือ…ลูกชายผมมองหน้าผมเหลอหลา แล้วก็คลานหนีไปเล่นรถของเล่นเฉยเลยครับ บางทีก็ทำหน้าเบื่อโลกใส่ด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆ ผมก็เอาน่ะ…ลองใหม่
ทีนี้เปลี่ยนแผน ไปหาซื้อพวกแฟลชการ์ดสีสวยๆ รูปสัตว์ รูปผลไม้ ที่เขาว่าดีนักดีหนามาลองใช้ดู ก็เปิดให้ดู ชี้ๆ พูดๆ ไป ลูกก็มองบ้างไม่มองบ้าง บางทีก็คว้าไปอมเล่นซะงั้น! ผมก็ยังไม่ยอมแพ้นะครับ คิดว่าสงสัยเรายังพยายามไม่พอ เลยลองเปิดเพลงภาษาอังกฤษ เพลงกล่อมเด็กภาษาที่สองให้ฟังทั้งวันเลยครับ เปิดมันอยู่อย่างนั้นแหละ ผลลัพธ์คือ…ลูกผมก็ยังเฉยๆ เหมือนเดิม เต้นบ้างนิดหน่อยตามประสาเด็ก แต่เรื่องพูดนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เงียบกริบ
มีคนแนะนำมาอีกว่าให้ลองเปิดการ์ตูนภาษาต่างประเทศให้ดูสิ เด็กจะซึมซับไปเอง อันนี้ผมก็ลองนะ เออ…เหมือนจะเริ่มเห็นผลนิดๆ ลูกดูจะชอบการ์ตูน แต่ปัญหาใหม่ก็ตามมาคือ กลัวลูกจะติดจอทีวีมากไปอีก กลายเป็นว่าแก้ปัญหาหนึ่ง ไปเจออีกปัญหาหนึ่ง เฮ้อ…ตอนนั้นเริ่มท้อแล้วครับ คิดในใจว่าหรือลูกเราจะไม่เก่งภาษา หรือเรามันสอนไม่เป็นเองกันแน่
ค้นพบวิธีที่ใช่ (สำหรับบ้านเรา)
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมนั่งมองลูกเล่นของเล่นอยู่เพลินๆ แล้วก็ปิ๊งแวบขึ้นมาในหัวเลยครับว่า เด็กมันไม่ได้อยาก “เรียน” แบบที่เราผู้ใหญ่คิดนี่หว่า! เด็กเขาอยาก “เล่น” เขาอยากสนุก การไปบังคับให้เขานั่งท่องจำอะไรน่าเบื่อๆ มันก็เหมือนไปสั่งให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วมันจะได้ผลได้ยังไงล่ะ?
พอคิดได้อย่างนั้น ผมก็เปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมดเลยครับ เลิกคาดหวังว่าลูกจะต้องพูดได้เป็นคำๆ หรือเป็นประโยคได้ทันที เลิกกดดันตัวเองแล้วก็เลิกกดดันลูกด้วย สิ่งที่ผมเริ่มทำคือ:
- ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน: อันนี้สำคัญมาก ผมเริ่มจากเอาภาษาที่สองไปแทรกซึมอยู่ในกิจกรรมที่ทำกับลูกทุกวันเลยครับ ไม่ได้จัดเป็น “ชั่วโมงเรียนภาษา” อีกต่อไปแล้ว
- เล่นด้วยกันนี่แหละเวิร์คสุด:
- ตอนอาบน้ำ ก็จะชี้ไปที่อวัยวะต่างๆ แล้วพูดเป็นภาษาที่สองสลับกับภาษาไทย เช่น “This is your nose! นี่จมูกหนูนะ” ลูกก็จะหัวเราะคิกคัก แล้วก็พยายามชี้ตาม
- อ่านนิทานภาพเยอะมากๆ ครับ เลือกเล่มที่ภาพใหญ่ๆ สีสวยๆ คำศัพท์ง่ายๆ ซ้ำไปซ้ำมา ชี้ที่ภาพแล้วก็พูดชื่อสิ่งนั้นออกมา พอลูกเริ่มจำได้ เขาก็จะชี้ตามแล้วพยายามออกเสียง
- ร้องเพลงเด็กภาษาที่สอง แล้วก็เต้นไปด้วยกันครับ อันนี้ลูกชายผมชอบมากเป็นพิเศษ ยิ่งถ้ามีท่าทางประกอบเพลงนะ เขาจะสนุกแล้วก็จำคำศัพท์จากเพลงได้ดีเลย
- ไม่ตำหนิ ไม่กดดัน: ถ้าลูกพูดผิด หรือยังพูดไม่ได้ ผมจะไม่ดุ หรือทำหน้าผิดหวังเลยครับ แค่ยิ้มๆ แล้วก็พูดคำที่ถูกต้องให้เขาฟังใหม่แบบเนียนๆ ไม่ใช่ว่าสอนวันนี้แล้วพรุ่งนี้ลูกต้องพูดได้เลย ปล่อยให้เขาค่อยๆ ซึมซับไปครับ
- ชมเชยเมื่อทำได้: อันนี้เป็นยาชูกำลังชั้นดีเลยครับ พอลูกเริ่มพยายามจะพูด หรือพูดคำศัพท์ใหม่ออกมาได้แม้แต่คำเดียว ผมนี่จะชมแบบเว่อร์วังอลังการมาก “เก่งมากลูก! Awesome!” ลูกก็จะยิ้มแก้มปริ มีกำลังใจอยากจะลองอีก
ผลลัพธ์ที่ได้เห็น
หลังจากเปลี่ยนวิธีมาเป็นแบบนี้ได้สักพักใหญ่ๆ นะครับ สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ ลูกชายผมดูมีความสุขกับการ “เล่น” ภาษามากขึ้นเยอะเลยครับ เขาไม่ได้มองว่ามันคือการเรียนที่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้ถามว่าเขาพูดได้เก่งปร๋อเป็นน้ำไหลไฟดับเลยไหม ก็ยังครับ ยังไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ เขากล้าที่จะพูด กล้าที่จะลองใช้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่ได้ยินมา ไม่กลัวที่จะพูดผิด แล้วก็สนุกกับการเรียนรู้ภาษาที่สองมากขึ้นเยอะเลยครับ เวลาเจอการ์ตูนหรือเพลงภาษาที่สอง เขาก็จะตั้งใจฟังมากขึ้น พยายามจะร้องตามบ้าง พูดตามบ้าง
แล้วที่สำคัญไปกว่าเรื่องภาษาอีกอย่างนะครับ ผมรู้สึกว่าการที่เราได้มาเล่น มาทำกิจกรรมสนุกๆ ด้วยกันแบบนี้ มันทำให้ผมกับลูกใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยซ้ำครับ มันคือช่วงเวลาคุณภาพที่เราได้ใช้ร่วมกันจริงๆ ได้หัวเราะ ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน มันดีกว่าการไปนั่งจ้องหน้ากันแล้วบังคับให้ท่องศัพท์เยอะเลยครับ
สำหรับใครที่กำลังพยายามสอนภาษาให้ลูกๆ แล้วรู้สึกท้อแท้อยู่ ลองเอาวิธีของผมไปปรับใช้ดูได้นะครับ อย่าไปเครียด อย่าไปจริงจังกับมันมากเกินไป ทำให้มันเป็นเรื่องสนุก เป็นการเล่น แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองครับ เชื่อผมเถอะครับ ผมลองผิดลองถูก เจ็บมาเยอะแล้วเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ สู้ๆ ครับ!

ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments