หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก เน้นกิจกรรม สอนผ่านการเล่น สนุกแน่
หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก เน้นกิจกรรม สอนผ่านการเล่น สนุกแน่
Share:

โอ้ยยย พอพูดถึงเรื่องหาคอร์สภาษาอังกฤษให้ลูกนี่นะ ตอนแรกๆ ก็มึนตึ้บเลยค่ะคุณ! คือแบบว่าข้อมูลมันเยอะแยะไปหมด เปิดไปทางไหนก็เจอแต่โฆษณาคอร์สเด็กเล็ก เด็กโต เรียนกลุ่ม เรียนเดี่ยว เรียนออนไลน์ สถาบันนั้นสถาบันนี้ โอ๊ย ปวดหัว! ตอนนั้นก็คิดหนักเลยว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี จะเลือกแบบไหนให้มันเหมาะกับลูกเราที่สุด

ตอนแรกเลยนะ ลูกฉันยังเล็กอยู่ ก็เลยคิดว่าเออ…หาอะไรที่มันสนุกๆ เน้นเล่นๆ ไปก่อนละกัน ไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าโดนบังคับเรียน เดี๋ยวจะพาลเกลียดภาษาอังกฤษไปซะเปล่าๆ ก็เลยไปลองดูกับสถาบันใกล้บ้านที่เค้ามีชื่อเสียงเรื่องสอนเด็กเล็กหน่อย บรรยากาศก็ดูโอเคนะ มีของเล่น มีเพลง แต่พอเอาเข้าจริง ปรากฏว่าเด็กในคลาสเยอะมาก ครูอาจจะดูแลไม่ทั่วถึงเท่าไหร่ ลูกเราก็วอกแวกไปตามเรื่องตามราว กลับมาบ้านถามอะไรก็จำไม่ค่อยจะได้ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยคลิกเท่าไหร่

หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก เน้นกิจกรรม สอนผ่านการเล่น สนุกแน่

พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ก็เลยลองขยับไปดูพวกโรงเรียนสอนภาษาที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น คราวนี้ก็เริ่มศึกษาข้อมูลจริงจังเลย ดูรีวิว ถามจากแม่ๆ คนอื่นว่าที่ไหนดีบ้าง ก็ไปเจออยู่สองสามที่ที่น่าสนใจ แต่ละที่ก็มีจุดเด่นต่างกันไป ที่นึงเน้นแกรมมาร์จ๋าเลย อีกที่เน้นสนทนา อีกที่ก็ดูทันสมัยหน่อย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสอน ก็ตัดสินใจลองไปที่นึงที่ดูแล้วน่าจะสมดุลสุด คือมีทั้งเรียนในห้องแล้วก็มีกิจกรรมให้ทำด้วย ช่วงแรกๆ ก็ดูโอเคนะ ลูกก็ดูสนุกดี แต่พอเรียนไปสักพัก เริ่มมีการบ้าน มีสอบวัดผล ลูกเริ่มมีอาการไม่อยากไปเรียนบ้าง ก็เลยมานั่งคิดว่า เอ๊ะ หรือว่ามันจะเครียดไปสำหรับเค้ารึเปล่านะ

ช่วงลองของออนไลน์กับสิ่งที่ค้นพบ

แล้วก็มาถึงยุคที่เรียนออนไลน์บูมๆ ใช่ไหมคะ ก็เลยคิดว่าเอ้อ ลองดูบ้างก็ไม่เสียหาย สะดวกดี ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางด้วย ก็ไปหาคอร์สออนไลน์สำหรับเด็กมาลองดู มีทั้งแบบเรียนกับครูคนไทย ครูต่างชาติ แบบเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือตัวต่อตัวเลยก็มีนะ

สิ่งที่เจอคือ ลูกเราสมาธิอยู่กับหน้าจอได้ไม่นานเท่าไหร่ แป๊บๆ ก็เริ่มหันไปสนใจอย่างอื่นแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่มีเพื่อนเรียนด้วยมั้ง หรืออาจจะเพราะว่ากิจกรรมมันไม่ดึงดูดพอสำหรับเค้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีเลยนะ มันก็มีข้อดีตรงที่เราได้นั่งดูอยู่ข้างๆ เห็นเลยว่าครูสอนอะไร ลูกเข้าใจตรงไหน ไม่เข้าใจตรงไหน อันนี้ก็ถือว่าเป็นข้อดีเหมือนกัน

จากการลองผิดลองถูกมาทั้งหมดเนี่ย ฉันก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองประมาณนี้ค่ะ:

  • ไม่มีคอร์สไหนดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน: อันนี้จริงมากๆ ลูกเราไม่เหมือนลูกคนอื่น สิ่งที่คนอื่นว่าดี ลูกเราอาจจะไม่ชอบก็ได้ ต้องลองสังเกตลูกเราเป็นหลัก
  • ครูผู้สอนสำคัญมาก: ครูที่เข้ากับเด็กได้ สร้างบรรยากาศสนุกสนาน ทำให้เด็กอยากเรียน อันนี้มีผลสุดๆ เลย
  • ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าปริมาณ: เรียนอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง แต่ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ดีกว่าอัดเรียนเยอะๆ ในช่วงสั้นๆ แล้วก็หายไปเลย
  • อย่ากดดันลูก: เป้าหมายคือให้เค้ารักการเรียนรู้ภาษา ไม่ใช่แค่สอบได้คะแนนดี การสร้างทัศนคติที่ดีต่อภาษาในระยะยาวสำคัญกว่าเยอะ
  • กิจกรรมต้องหลากหลาย: เด็กเบื่อง่าย การเรียนแบบเดิมๆ ซ้ำๆ อาจจะไม่เวิร์ค ต้องมีเพลง มีเกม มีเรื่องเล่า สลับๆ กันไป

สุดท้ายแล้วนะคะ ฉันว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวหรอกค่ะว่าต้องเรียนแบบไหนถึงจะดีที่สุดสำหรับลูกเรา เราในฐานะพ่อแม่นี่แหละที่ต้องคอยสังเกตลูกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเค้าชอบอะไร ถนัดแบบไหน เรียนรู้ผ่านช่องทางไหนได้ดีที่สุด อย่างตอนนี้บ้านฉันก็ใช้วิธีผสมผสานกันไปเลยค่ะ มีทั้งเรียนกับครูตัวเป็นๆ บ้าง ให้เค้าได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แล้วก็มีใช้แอปพลิเคชันสอนภาษาที่มันสนุกๆ เหมือนเล่นเกมให้เค้าได้ทบทวนเองที่บ้านบ้าง เน้นให้เค้าได้ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันจริงๆ มากกว่าจะไปท่องจำศัพท์หรือแกรมมาร์อย่างเดียว

ก็หวังว่าประสบการณ์ที่เอามาเล่าสู่กันฟังวันนี้จะเป็นประโยชน์กับพ่อๆ แม่ๆ ท่านอื่นบ้างนะคะ ใครมีวิธีไหนเด็ดๆ ก็มาแชร์กันได้เลยค่ะ ส่วนตัวฉันก็ยังเรียนรู้แล้วก็ปรับเปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ เหมือนกันค่ะ เพราะเด็กแต่ละช่วงวัยความสนใจเค้าก็เปลี่ยนไปเนอะ!

ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติ สำหรับเด็กและเยาวชนอายุ 3 ถึง 18 ปีโดยเฉพาะ

เราจะมอบคาบเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติให้คุณฟรี 1 คาบ พร้อมแบบทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

This field is required.
This field is required.
กรุณากรอกข้อความของคุณที่นี่ โปรดให้สั้นและชัดเจน
ช่องทางการติดต่อที่ต้องการ
คุณต้องการให้เราติดต่อคุณอย่างไร?