สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ ของผมกับคำว่า “ielts แปล” เนี่ยแหละครับ คือตอนแรกๆ ที่ได้ยินคำนี้ ผมก็เกาหัวแกรกๆ เลยนะ ว่ามันคืออะไรกันแน่ แปลว่าอะไร? มันเป็นชื่อเฉพาะ หรือมันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่
เรื่องของเรื่องคือตอนนั้นผมกำลังวุ่นๆ กับการหาข้อมูลให้คนใกล้ตัวที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วก็เจอไอ้คำว่า IELTS เนี่ยโผล่มาบ่อยมาก ไอ้เราก็คนไม่เคยข้องแวะเรื่องพวกนี้มาก่อน ก็ต้องเริ่มจากศูนย์เลยครับ เปิดกูเกิ้ลเลย พิมพ์ไปว่า “IELTS แปล” ผลลัพธ์ที่ได้ก็มีทั้งบอกว่าเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษบ้างล่ะ บอกว่าเป็นระบบทดสอบบ้างล่ะ อ่านไปอ่านมาก็ยังงงๆ อยู่ดี คือรู้แหละว่าเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ แต่ไอ้คำว่า “แปล” ของมันเนี่ย มันจะแปลได้แค่ไหนกันเชียว

ผมก็เลยลองไปถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เคยมีประสบการณ์ หรือเคยไปสอบมาบ้าง เผื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรดครับ มีคนนึงอธิบายให้ฟังแบบเห็นภาพเลย เขาบอกว่า IELTS เนี่ย ถ้าจะให้ “แปล” แบบตรงๆ ตัว มันก็คือชื่อย่อของ International English Language Testing System โอ้โห ชื่อยาวเฟื้อยเลยใช่ไหมล่ะครับ แต่ถ้าจะให้ “แปล” ความหมายที่แท้จริงของมันในมุมของคนที่ต้องใช้เนี่ย มันมากกว่านั้นเยอะเลย
มันไม่ใช่แค่การ “แปล” ว่าเป็นข้อสอบ แต่สำหรับหลายๆ คน มันคือการ “แปล” ความฝันให้เป็นจริงด้วยซ้ำไป เพราะไอ้เจ้า IELTS เนี่ย มันเป็นเหมือนกุญแจดอกสำคัญเลยนะ ที่จะเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ ในต่างแดน การได้งานทำในบริษัทต่างชาติ หรือแม้กระทั่งการย้ายไปตั้งรกรากในประเทศอื่น คือถ้าไม่มีผลสอบ IELTS เนี่ย หลายๆ อย่างมันก็ไปต่อไม่ได้เลยจริงๆ
พอเริ่มเข้าใจคอนเซปต์คร่าวๆ แล้ว ผมก็เริ่มเจาะลึกลงไปอีกว่าไอ้การ “แปล” ความสามารถทางภาษาอังกฤษผ่าน IELTS เนี่ย มันทำยังไงบ้าง ก็ถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ มันมีการทดสอบครบทั้ง 4 ทักษะเลยครับ คือ:
- การฟัง (Listening) อันนี้ก็ต้องตั้งใจฟังสำเนียงต่างๆ ให้ดีเลย
- การอ่าน (Reading) บทความยาวๆ ศัพท์เฉพาะทางก็มีมาให้ปวดหัวเล่น
- การเขียน (Writing) ไม่ใช่แค่เขียนถูกแกรมม่า แต่ต้องมีโครงสร้าง มีเหตุผล
- การพูด (Speaking) อันนี้ก็ต้องมั่นใจ พูดให้ลื่นไหล ตอบคำถามให้ตรงประเด็น
แต่ละส่วนนี่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อย มีเทคนิคการทำข้อสอบที่ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมอีกนะ ไม่ใช่ว่าเราเก่งภาษาอังกฤษแล้วจะเดินเข้าไปสอบได้ชิลๆ เลย มันมีเรื่องของเวลาที่จำกัด รูปแบบคำถามที่หลากหลาย คือมันเป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวกันพอสมควรเลยล่ะครับ
ผมเองก็เคยลองเอาพวกตัวอย่างข้อสอบเก่าๆ มานั่งทำดูเล่นๆ นะครับ อยากจะรู้ว่ามันจะ “แปล” ความสามารถเราออกมาได้แค่ไหน โอ้โห… บอกเลยว่าไม่ง่ายครับ แค่จะ “แปล” โจทย์แต่ละข้อให้เข้าใจถ่องแท้ แล้วหาคำตอบให้ทันเวลานี่ก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน คือมันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมหลายคนถึงต้องไปลงคอร์สติวกันจริงจัง เพราะมันมีอะไรมากกว่าแค่การรู้ศัพท์รู้แกรมม่าจริงๆ
แล้วมัน “แปล” เป็นอะไรได้อีกบ้าง?
นอกจากการ “แปล” ความสามารถทางภาษาอังกฤษแล้ว ผลคะแนน IELTS ที่ได้มาเนี่ย มันยัง “แปล” ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาของสถาบันต่างๆ ด้วยนะครับ เช่น มหาวิทยาลัยนี้ต้องการ IELTS Overall Band 7.0 โดยที่แต่ละพาร์ทต้องไม่ต่ำกว่า 6.5 อะไรแบบนี้ คือมัน “แปล” ออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนเลยว่าเราผ่านเกณฑ์หรือไม่ผ่านเกณฑ์
ดังนั้น เวลาที่เราพูดถึง “ielts แปล” เนี่ย ในมุมมองของผมที่ได้ไปคลุกคลีหาข้อมูลมาพักใหญ่ๆ มันเลยไม่ได้หมายถึงแค่การแปลคำศัพท์หรือความหมายของตัวอักษร I-E-L-T-S เท่านั้น แต่มันคือการ “แปล” หรือ “ถอดรหัส” ทั้งระบบการทดสอบ ทั้งความสำคัญของมัน และที่สำคัญที่สุดคือมัน “แปล” ความพยายามของเราออกมาเป็นคะแนนที่จะชี้วัดอนาคตในบางเส้นทางได้เลยทีเดียวครับ

ใครที่กำลังเริ่มต้นศึกษาเรื่อง IELTS หรือกำลังงงๆ ว่ามันคืออะไร แปลว่าอะไรกันแน่ ก็หวังว่าประสบการณ์ที่ผมเอามาเล่าสู่กันฟังแบบบ้านๆ วันนี้ จะช่วยให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้นนะครับ มันก็เป็นอีกหนึ่งด่านที่เราต้องผ่านไปให้ได้ถ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า สู้ๆ ครับ!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments