เอาล่ะครับ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ เลยเรื่องสอนภาษาอังกฤษให้เด็กเล็กที่บ้านผมเอง คือตอนแรกลูกผมก็ยังเล็กมากกกก ประมาณขวบกว่าๆ สองขวบ ก็คิดว่าจะเริ่มยังไงดี ไปดูตามร้านหนังสือก็มีแต่การ์ดคำศัพท์ หนังสือภาพเต็มไปหมด ซื้อมาลองให้ลูกดู ลูกก็มองแป๊บๆ แล้วก็ไปเล่นอย่างอื่น โอ้โห ท้อเลยครับ นึกในใจว่าสงสัยจะไม่รอดซะแล้ว
ช่วงค้นหาวิธีที่ใช่
ผมก็ลองเปลี่ยนวิธีไปเรื่อย เปิดเพลงภาษาอังกฤษเด็กให้ฟังบ้าง เปิดการ์ตูนเป็นภาษาอังกฤษ (แบบไม่มีซับไทยนะ) ให้ดูผ่านๆ บ้าง ก็เหมือนจะยังไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่ คือเค้าก็ดูนะ แต่ไม่ได้ซึมซับคำศัพท์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย บางทีก็รู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว เหนื่อยใจเหมือนกันนะช่วงนั้น คิดว่าหรือเราจะสอนเร็วไป หรือลูกเราไม่ถนัดทางนี้จริงๆ
จนมาสังเกตดูว่า เอ๊ะ! ลูกเราชอบเล่น ชอบทำกิจกรรมมากกว่านั่งเฉยๆ หรือดูอะไรนานๆ จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้แหละครับ ผมเลยเปลี่ยนแผนใหม่หมดเลย เลิกยัดเยียด เลิกคาดหวังว่าต้องได้ศัพท์เป็นร้อยเป็นพันคำในเร็ววัน
ลงมือปฏิบัติจริงจังแบบสนุกๆ
ผมเริ่มจากของใกล้ตัวเลยครับ ของเล่นที่เค้าเล่นทุกวัน เวลาหยิบจับอะไรก็พยายามพูดเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ ชัดๆ เช่น
- ชี้ไปที่รถ แล้วพูดว่า “Car, a red car.”
- เวลาป้อนข้าว ก็พูดว่า “Eat, yummy yummy.”
- ตอนอาบน้ำ ก็ชี้ไปที่เป็ดเหลืองในอ่าง “Duck, a yellow duck.”
เน้นย้ำๆ ซ้ำๆ แต่ไม่กดดัน คือถ้าเค้าไม่พูดตามก็ไม่เป็นไร แค่ให้เค้าได้ยินผ่านหูบ่อยๆ ที่สำคัญคือต้องทำเสียงให้น่าสนใจ มีสูงมีต่ำ มีทำท่าทางประกอบไปด้วย ลูกจะหันมามองแล้วก็ยิ้มๆ เหมือนสนุกไปด้วย
อีกอย่างที่เวิร์คมากคือ การร้องเพลงภาษาอังกฤษง่ายๆ ด้วยกัน เพลงเด็กๆ ที่มีท่าเต้นประกอบยิ่งดีเลยครับ อย่างเพลง “Head, Shoulders, Knees and Toes” เนี่ย ลูกผมชอบมาก เต้นไปหัวเราะไป ได้ทั้งคำศัพท์ ได้ทั้งออกกำลังกายไปในตัว
แล้วก็มีเรื่อง การอ่านนิทานภาษาอังกฤษ ผมจะเลือกเล่มที่ภาพสวยๆ ตัวหนังสือน้อยๆ เน้นภาพใหญ่ๆ เวลาเล่าก็จะชี้ไปที่ภาพแล้วก็พูดคำศัพท์นั้นๆ หรือบางทีก็แต่งเรื่องเสริมเข้าไปจากภาพเลย ทำให้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้น ลูกก็จะตั้งใจฟังมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ค่อยๆ เห็นผล
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนนะครับ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ วันละนิดวันละหน่อย พอผ่านไปสักพัก ลูกเริ่มชี้ของแล้วพยายามจะพูดคำนั้นเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ถึงจะยังไม่ชัดเป๊ะ แต่เห็นความพยายามแล้วใจฟูเลยครับ อย่างเช่นเห็นแมว ก็จะชี้แล้วพูด “แคะ..แคะ” (พยายามจะพูดว่า Cat) หรืออยากกินนมก็จะพูด “มิก..มิก” (Milk) อะไรทำนองนี้
มันไม่ใช่การสอนแบบจริงจังในห้องเรียนนะครับ แต่มันคือการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันแล้วสอดแทรกภาษาเข้าไปแบบเนียนๆ ให้เค้ารู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรที่น่ากลัว

ตอนนี้ลูกผมก็ยังไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษปร๋ออะไรขนาดนั้นนะครับ แต่เค้าไม่กลัวภาษาอังกฤษแล้ว กล้าที่จะพูดผิดๆ ถูกๆ ซึ่งผมว่านี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ คือทำให้เค้ารู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันสนุก ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ยังไงถ้าใครมีลูกเล็กๆ ลองเอาวิธีบ้านๆ แบบผมไปปรับใช้ดูนะครับ ได้ผลไม่ได้ผลยังไงก็มาแชร์กันได้ครับ
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments