ใครๆ ก็บอกว่าให้เด็กเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแต่เล็กๆ มันดีนะ แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ง่ายเหมือนที่คิดเลยว่ะ ตอนนั้นลูกฉันยังเล็กๆ เลย อยากให้แกได้ภาษาบ้าง เห็นคนอื่นเขาพูดกันปร๋อ ก็อยากให้ลูกเราเป็นงั้นมั่ง
เริ่มยังไงดีวะ ตอนแรกก็มั่วๆ ไป
แรกๆ เลยนะ ก็เหมือนคนอื่นแหละ ไปเดินหาซื้อหนังสือภาพสวยๆ ที่มันมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ กะว่าให้ลูกดูรูปแล้วก็จำคำศัพท์เอา แล้วก็มีการ์ดคำศัพท์อีกเป็นตั้งๆ เลยนะ คิดในใจว่าเออ เดี๋ยวเอามาชี้ๆ บอกๆ วันละนิดวันละหน่อยก็น่าจะได้เองแหละ แล้วก็ไม่พ้นพวกแอพพลิเคชั่นในมือถือ ที่เขาว่าดีๆ สอนภาษาเด็ก โหลดมาเต็มเครื่องไปหมด บางอันก็เสียตังค์ด้วยนะ คิดว่าของแพงมันต้องดีสิวะ

พอเอาเข้าจริง เปิดเพลงภาษาอังกฤษให้ฟัง เด็กมันก็มองหน้าเหลอหลา ทำตาปริบๆ บางทีก็เบะปากจะร้องไห้ đòi ดูการ์ตูนช่องโปรดของมันเป็นภาษาไทย ไอ้เราก็เซ็งเลยสิ
ไอ้ที่คิดไว้ มันไม่เวิร์คเลยนี่หว่า
พวกบัตรคำศัพท์นี่ ไม่ต้องพูดถึงเลยนะ พอหยิบขึ้นมา ชี้ๆ บอกๆ ไปได้สองสามคำ เช่น “apple” “banana” เด็กมันก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว มองซ้ายมองขวา แป๊บเดียวก็วิ่งหนีไปเล่นของเล่นอื่นแล้ว ปล่อยให้เรานั่งมองการ์ดตาละห้อย ส่วนแอพที่โหลดมานะเหรอ ลูกก็จิ้มๆ เล่นอยู่สองสามที แล้วก็ปัดทิ้ง ไปหาเกมอื่นเล่นแทน สรุปคือเสียเงินฟรีไปหลายอันเลย
บางทีก็ท้อนะ รู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว เหมือนเราพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ที่มันไม่เข้าใจเลยสักนิด เหมือนสอนหนังสือให้กำแพงอ่ะ มันไม่ซึม ไม่รับรู้อะไรเลย พยายามพูดคำง่ายๆ ซ้ำๆ มันก็ไม่สนใจ ไอ้เราก็เริ่มเครียดละ ว่าทำไมลูกเรามันไม่เหมือนลูกคนอื่นเขาวะ
เออ… เด็กมันก็คือเด็กนี่นะ
มานั่งคิดดูดีๆ เออ เด็กมันก็คือเด็ก จะไปบังคับให้มันมานั่งท่องศัพท์ นั่งเรียนเหมือนผู้ใหญ่ได้ไงวะ มันต้องมีวิธีอื่นสิ ที่มันสนุกกว่านี้ ที่มันไม่เหมือนการเรียน เราต้องทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเล่น ไม่ใช่การบังคับให้เรียนหนังสือ
เปลี่ยนแผนใหม่หมด! เน้นเล่น ไม่เน้นเรียน
คราวนี้ลองใหม่หมดเลย ทิ้งตำรา ทิ้งความคาดหวังไปก่อน เน้นเล่นสนุกอย่างเดียวเลย สิ่งที่ฉันเริ่มทำคือ:
- เริ่มจากอะไรง่ายๆ รอบตัว: เวลาเล่นของเล่นด้วยกัน ก็หยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมา แล้วก็พูดช้าๆ ชัดๆ ว่า “bear” ทำเสียงตลกๆ หน่อย หรือชี้ไปที่รถของเล่นแล้วก็พูด “car” ตอนแรกมันก็นิ่งๆ นะ แต่เราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อ
- ใช้สถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน: ตอนอาบน้ำ ก็ชี้ไปที่เป็ดเหลืองๆ ในอ่าง “duck duck” แล้วก็ทำเสียงเป็ด ก๊าบๆ เด็กมันก็หัวเราะชอบใจ ตอนกินข้าว ก็บอก “eat” หรือตอนจะนอนก็ “sleep” พยายามเชื่อมโยงคำศัพท์กับสิ่งที่มันเห็นหรือทำอยู่จริงๆ
- ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษง่ายๆ ด้วยกัน: เลือกการ์ตูนที่มันพูดช้าๆ ใช้คำศัพท์ซ้ำๆ เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน แล้วเราก็ดูไปกับมัน พยายามพูดตามตัวการ์ตูน ทำท่าทางประกอบไปด้วย เด็กมันจะรู้สึกว่ามีเพื่อนดูด้วย
- ร้องเพลงเด็กภาษาอังกฤษ: เพลงง่ายๆ อย่าง “Twinkle Twinkle Little Star” หรือ “Old MacDonald Had a Farm” นี่แหละตัวดีเลย ร้องไป เต้นไปด้วยยิ่งดี เด็กมันชอบอะไรที่ขยับๆ แล้วก็มีจังหวะสนุกๆ
- สำคัญที่สุดคืออย่าไปคาดหวัง: เลิกคิดไปเลยว่ามันต้องพูดได้ทันทีทันใด แค่ให้มันคุ้นหู คุ้นสำเนียงไปก่อน ถือว่าหยอดกระปุกไปเรื่อยๆ
- ชมเยอะๆ เข้าไว้: แค่มันพยายามจะออกเสียงตาม หรือชี้นิ้วถูก เราก็ต้องชมแล้ว “เก่งมาก!” “Good job!” อะไรก็ว่าไป ให้มันมีกำลังใจ อยากจะทำอีก
- อ่านนิทานภาษาอังกฤษก่อนนอน: เลือกเล่มที่มีภาพใหญ่ๆ สีสวยๆ ชี้ภาพไป อ่านไป ทำเสียงสูงเสียงต่ำตามตัวละคร มันจะช่วยให้เด็กเพลินแล้วก็ซึมซับคำศัพท์ไปโดยไม่รู้ตัว
มีอยู่ครั้งนึง ตลกมาก พยายามสอนคำว่า “dog” ตอนเห็นหมาเดินผ่าน ก็ชี้แล้วพูด “dog dog” ลูกฉันมองหน้าแล้วก็เห่า “โฮ่งๆ!” ใส่แทน เออ… ก็ยังดีวะ อย่างน้อยก็เชื่อมโยงเสียงกับสัตว์ได้ถูกตัว (ฮา)
ผลลัพธ์ที่ค่อยๆ เห็น
ตอนนี้เหรอ ก็ยังไม่ได้พูดเป็นประโยคยาวๆ หรือสำเนียงเป๊ะอะไรมากมายหรอกนะ แต่มันเริ่มมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษติดปากบ้างแล้ว บางทีก็หลุดพูดออกมาเป็นคำๆ ได้เองเวลาเห็นของจริง เช่น เห็นนมก็พูด “milk” เห็นหมาก็ “dog” เวลาจะไปก็ “bye bye” ได้เองโดยที่เราไม่ต้องบอก มันอาจจะเล็กๆ น้อยๆ นะ แต่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเรา แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว อย่างน้อยความพยายามของเรามันก็ไม่เสียเปล่า

สรุปแล้วนะ การสอนภาษาอังกฤษเด็กเล็กเนี่ย มันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวหรอกจริงๆ ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ดูว่าลูกเราชอบแบบไหน แล้วก็ปรับไปตามนั้น ความอดทน นี่สำคัญที่สุดเลย แล้วก็ต้อง ทำให้มันสนุก อย่าไปซีเรียสมาก เดี๋ยวเด็กมันจะเกลียดภาษาอังกฤษไปซะก่อน แล้วก็อย่าลืมว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่นะ ไม่ใช่ครูสอนพิเศษในโรงเรียน ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองแหละ
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments