สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากมาเล่าประสบการณ์ตรงๆ กับการทำงาน PalFish ที่หลายคนอาจจะเคยเห็นคนพูดถึงใน Pantip หรือกำลังคิดๆ อยู่ว่าจะลองดีไหม ส่วนตัวผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมา เลยอยากมาแชร์แบบหมดเปลือก ไม่มีกั๊ก
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ลอง PalFish
คือช่วงนั้นผมก็ทำงานประจำอยู่นะครับ แต่รู้สึกว่าอยากมีรายได้เสริม แล้วก็ชอบภาษาอังกฤษอยู่แล้วด้วย เห็นโฆษณา PalFish ผ่านๆ ในเน็ตนี่แหละครับ ตอนแรกก็ลังเลนะ เอ๊ะ มันจะดีจริงเหรอ จะได้เงินจริงไหม จะยุ่งยากหรือเปล่า แต่ด้วยความที่อยากลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็คิดว่าเออ สอนเด็กๆ ก็น่าจะสนุกดี ก็เลยตัดสินใจลองดู
ขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัว
ผมก็เริ่มจากการโหลดแอป PalFish Teacher มาก่อนเลยครับ จากนั้นก็กรอกข้อมูลส่วนตัวทั่วไป อัปโหลดเอกสารที่เขากำหนด มีพวกใบรับรองการสอน (ถ้ามี) หรือวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ตอนนั้นผมก็ใช้แค่ปริญญาตรีของผมนี่แหละครับ แล้วก็ต้องอัดวิดีโอแนะนำตัวเองสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ โชว์สกิลการพูด การออกเสียงหน่อยนึง
ความท้าทายอยู่ตรงนี้แหละครับ! ตอนอัดวิดีโอแนะนำตัวนี่แหละ ผมอัดแล้วลบๆ อยู่หลายรอบเลย อยากให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติแล้วก็น่าสนใจที่สุด หลังจากส่งเอกสารกับวิดีโอไป ก็ต้องรอเขอนุมัติครับ จำได้ว่ารออยู่ประมาณอาทิตย์นึงมั้งครับ พออนุมัติปุ๊บ ก็ต้องมีการทำ Demo Class หรือคลาสทดลองสอนให้เจ้าหน้าที่เขาดู อันนี้ก็เตรียมตัวพอสมควรเลย หาพร็อพตุ๊กตุ่นตุ๊กตามาประกอบการสอนเต็มที่ ฮ่าๆๆๆ พอผ่าน Demo Class ก็ถือว่าพร้อมเปิดรับนักเรียนแล้วครับ!
ประสบการณ์การสอนจริง
ช่วงแรกๆ ที่เปิดโปรไฟล์นี่เงียบกริบเลยครับ ฮ่าๆๆๆ ก็เข้าใจได้นะ โปรไฟล์ใหม่ๆ ยังไม่มีรีวิว ใครจะกล้าจอง แต่ผมก็พยายามเข้าไปดูในแอปบ่อยๆ อัปเดตตารางเวลาที่เราว่างสอนอยู่ตลอด แล้วก็เริ่มมีนักเรียนคนแรกเข้ามาครับ!
ความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้นมาก! เด็กคนแรกเป็นเด็กจีน น่ารักมากครับ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่พยายามสื่อสารสุดๆ เราก็ต้องใช้พลังเยอะหน่อย ทั้งทำท่าทาง ทั้งใช้เสียงสูงเสียงต่ำให้เขาสนุก แรกๆ ก็มีติดขัดบ้างครับ เรื่องสัญญาณเน็ตบ้าง เรื่องการใช้เครื่องมือในแอปบ้าง แต่พอสอนไปสักพักก็เริ่มชินครับ
- ข้อดีที่เจอ:
- ความยืดหยุ่นเรื่องเวลา: อันนี้ชอบมากครับ เราเลือกเวลาสอนเองได้เลย ว่างตอนไหนก็เปิดตอนนั้น เหมาะกับคนทำงานประจำแบบผม
- ได้ฝึกภาษา: ถึงเราจะสอนเขา แต่เราก็ได้ฝึกการพูด การอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว
- ได้เจอเด็กๆ น่ารัก: อันนี้เป็นกำลังใจที่ดีเลยครับ เห็นพัฒนาการของเขาเราก็ดีใจ
- รายได้เสริม: ก็ถือว่าเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง แม้จะไม่มากมายเท่าไหร่สำหรับผมตอนนั้น
- ข้อที่อาจจะต้องพิจารณา:
- ความสม่ำเสมอของนักเรียน: อันนี้บอกเลยว่าไม่แน่นอนครับ บางช่วงนักเรียนเยอะมาก บางช่วงก็หายเงียบไปเลย ต้องทำใจนิดนึง
- การแข่งขัน: ครูในระบบเยอะครับ เราต้องพยายามสร้างโปรไฟล์ให้น่าสนใจ มีรีวิวดีๆ
- การเตรียมการสอน: ถึงแม้จะมีบทเรียนสำเร็จรูปให้ แต่เราก็ต้องเตรียมตัวว่าจะสอนยังไงให้สนุก ไม่น่าเบื่อ
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรม: ผู้ปกครองบางคนอาจจะมีความคาดหวังสูง หรือมีสไตล์การสื่อสารที่เราต้องปรับตัว
ช่วงพีคและช่วงดาวน์
ผมมีช่วงที่นักเรียนจองคิวเต็มเกือบทุกวันที่เปิดสอนเลยครับ ตอนนั้นสนุกมาก ได้เงินก็เยอะขึ้น รู้สึกว่าเออ เราก็ทำได้นี่หว่า แต่ก็มีช่วงที่นักเรียนน้อยจริงๆ ครับ เปิดรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครจอง ตอนนั้นก็แอบท้อเหมือนกันนะ คิดว่าหรือเราสอนไม่ดี หรือมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ก็ต้องกลับมาดูโปรไฟล์ตัวเองใหม่ หาวิธีโปรโมทตัวเองในแอปเพิ่ม
จำได้เลยว่าเคยมีผู้ปกครองคนนึงค่อนข้างจะเข้มงวดกับลูกมาก แล้วก็คาดหวังว่าลูกต้องพูดได้เป๊ะๆ ทันทีหลังเรียนไม่กี่ครั้ง อันนี้ก็แอบกดดันเราเหมือนกันครับ เราก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าการเรียนภาษามันต้องใช้เวลา
สรุปแล้ว ทำงาน PalFish ดีไหม?
ถ้าถามผมว่าดีไหม ผมว่ามัน “แล้วแต่คน แล้วแต่ช่วงเวลา แล้วแต่ความคาดหวัง” ครับ
ถ้าคุณมองหาอาชีพหลักที่มั่นคง รายได้แน่นอน PalFish อาจจะไม่ใช่คำตอบแรก เพราะรายได้มันไม่สม่ำเสมอเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมองหาอาชีพเสริม อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อยากฝึกภาษา ชอบสอนเด็กๆ และรับได้กับความไม่แน่นอนของงาน ผมว่า PalFish เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
สำหรับผมเอง ประสบการณ์ที่ได้จาก PalFish ถือว่าคุ้มค่านะครับ ได้ทั้งฝึกภาษา ได้ทั้งประสบการณ์การสอนเด็กต่างชาติ ได้เพื่อนใหม่ๆ (จากกลุ่มครูด้วยกัน) แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่ได้สอนเป็นหลักแล้ว แต่ก็ยังเป็นความทรงจำที่ดีครับ
หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจอยู่นะครับ ลองชั่งใจดูข้อดีข้อเสีย แล้วก็ถามตัวเองว่าเราพร้อมสำหรับมันแค่ไหน โชคดีครับ!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments