สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์สมัยเรียนปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษของผมเอง เผื่อจะเป็นแนวทางหรือเป็นกำลังใจให้น้องๆ หรือใครที่กำลังสนใจด้านนี้อยู่นะครับ
จุดเริ่มต้นของการเลือกเรียนภาษาอังกฤษ
เอาจริงๆ ตอนแรกเลยนะ ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลยครับ ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนชอบดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงสากล แล้วก็รู้สึกว่ามันเท่ดี อยากจะเข้าใจว่าเขาร้องว่าอะไร พูดว่าอะไร ไม่ต้องรออ่านซับอย่างเดียว บวกกับตอนเรียนมัธยมปลายเนี่ย คะแนนวิชาภาษาอังกฤษมันก็พอไปวัดไปวาได้ดีกว่าวิชาอื่นเขาหน่อย เลยคิดง่ายๆ ว่า เอ้อ! ทางนี้น่าจะรอดแฮะ ก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนเอกอังกฤษไปเลย ตอนนั้นไม่ได้มองไกลถึงเรื่องอาชีพการงานอะไรมากหรอกครับ คิดแค่ว่าชอบ อยากรู้เรื่องภาษาให้มากขึ้น

ชีวิตช่วงปีแรกๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย
พอเข้ามาเรียนจริงๆ นะ โอ้โห! มันไม่ใช่แค่ A B C หรือแกรมมาร์ง่ายๆ แบบที่เราเคยเรียนมาเลยครับ เจอทั้ง Phonetics (สัทศาสตร์) ที่ต้องมานั่งฝึกออกเสียงให้เป๊ะๆ เรียนเรื่องการออกเสียงแต่ละตัวอักษร ลิ้นต้องวางยังไง ปากต้องทำรูปยังไง ตอนนั้นนี่ท้อเลยนะ บางทีเรียนในห้องก็ยังงงๆ กลับบ้านมาต้องไปเปิดยูทูปดูฝรั่งเขาออกเสียงเทียบกันอีกที แล้วก็มีพวก Reading Comprehension ที่บทความยาวเป็นหน้าๆ ศัพท์ก็ยากๆ ทั้งนั้น แรกๆ นี่เปิดดิกชันนารีกันมือเป็นระวิงเลยครับ กว่าจะอ่านจบแต่ละเรื่อง ใช้เวลานานมาก
แต่ก็สนุกดีนะ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน ช่วยกันติว ช่วยกันแปล บางทีก็จับกลุ่มกันไปดูหนังซาวด์แทร็ก แล้วก็มานั่งเถียงกันว่าประโยคนี้มันแปลว่าอะไรกันแน่ ฮ่าๆๆ
ช่วงกลางๆ กับวิชาที่เข้มข้นขึ้น
พอขึ้นปีสองปีสาม วิชาต่างๆ ก็เริ่มลงลึกมากขึ้นครับ ที่จำได้แม่นๆ เลยคือพวกวรรณคดีอังกฤษ วรรณคดีอเมริกัน โอ้โห ตอนนั้นได้อ่านงานของเชกสเปียร์นี่มึนตึ้บเลยครับ ภาษาโบราณมาก แต่พออาจารย์อธิบาย หรือเราไปค้นคว้าเพิ่มเติม มันก็เริ่มเห็นความสวยงามของภาษา เห็นแง่มุมทางประวัติศาสตร์ สังคม ที่ซ่อนอยู่ในนั้น
- Linguistics (ภาษาศาสตร์): อันนี้ก็เป็นอีกตัวที่ปราบเซียนเลยครับ เรียนโครงสร้างภาษา ที่มาของคำ การเปลี่ยนแปลงของภาษา แรกๆ ก็งงๆ แต่พอจับหลักได้ก็สนุกดีเหมือนกัน
- Translation (การแปล): วิชานี้เหมือนจะง่าย แต่ไม่ง่ายเลยครับ ไม่ใช่แค่แปลคำต่อคำ แต่ต้องแปลให้ได้ความหมาย สื่อสารวัฒนธรรม แล้วก็ต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสมกับบริบทด้วย ฝึกเยอะมากครับวิชานี้
- Public Speaking/Presentation: อันนี้เป็นอะไรที่ผมกลัวมากตอนแรกๆ ต้องออกไปพูดหน้าห้องเป็นภาษาอังกฤษ ตื่นเต้นจนมือไม้สั่นไปหมด แต่พอได้ฝึกบ่อยๆ มันก็เริ่มชิน เริ่มมั่นใจมากขึ้น ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญมากๆ เลยครับ
ช่วงนี้แหละครับที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นเยอะ จากที่เคยเปิดดิกชันนารีทุกคำ ก็เริ่มเดาศัพท์จากบริบทได้ อ่านได้เร็วขึ้น ฟังก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น เริ่มคิดเป็นภาษาอังกฤษได้บ้างแล้วนิดหน่อย
ปีสุดท้าย กับการปิดฉากการเรียน
มาถึงปีสุดท้าย ไฮไลท์เลยก็คือการทำ Project หรือบางที่อาจจะเป็น Thesis นะครับ ของผมตอนนั้นทำเป็น Project เกี่ยวกับการวิเคราะห์การใช้ภาษาในเพลงสากล ก็ต้องไปค้นคว้าเยอะมาก อ่านเปเปอร์ อ่านหนังสือ แล้วก็เอามาวิเคราะห์ สรุปผลออกมาเป็นเล่ม ตอนทำนี่เครียดมากครับ นอนดึกเป็นว่าเล่น แต่พอทำเสร็จแล้วมันภูมิใจมากนะ เหมือนเราได้สร้างผลงานอะไรสักอย่างเป็นชิ้นเป็นอันด้วยตัวเอง
นอกจาก Project ก็ยังมีวิชาเลือกอีกหลายตัวที่เราสนใจให้ลงเรียน ผมก็เลือกพวก English for Tourism, Business English อะไรพวกนี้ เพราะคิดว่าน่าจะได้ใช้ในอนาคต
เรียนจบแล้วได้อะไรบ้าง
พอเรียนจบออกมาแล้วมองย้อนกลับไปนะครับ ปริญญาตรีภาษาอังกฤษเนี่ย มันไม่ได้ให้แค่ความรู้เรื่องภาษาอย่างเดียวนะ แต่มันให้ทักษะหลายอย่างมากๆ เลย ทั้งทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การค้นคว้าข้อมูล การสื่อสาร แล้วก็ทำให้เราเป็นคนใจกว้าง เข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่างมากขึ้นด้วย

ถามว่าจบมาแล้วทำงานตรงสายเลยไหม ก็มีบ้างครับ แต่หลายๆ คนรวมถึงตัวผมเอง ก็เอาทักษะภาษาอังกฤษนี่แหละไปต่อยอดในงานอื่นๆ ได้อีกเยอะแยะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นงานสายการบิน งานโรงแรม งานนำเข้าส่งออก หรือแม้แต่งานที่ไม่เกี่ยวกับภาษาโดยตรง แต่ถ้าเรามีทักษะภาษาที่ดี มันก็เป็นข้อได้เปรียบเสมอ
ใครที่กำลังเรียนอยู่ หรือกำลังตัดสินใจจะเรียนทางนี้ ก็สู้ๆ นะครับ มันอาจจะมีช่วงที่ยากบ้าง ท้อบ้าง แต่ถ้าเราตั้งใจจริง ผ่านมันไปได้แน่นอนครับ แล้วคุณจะค้นพบว่าภาษาอังกฤษมันเปิดโลกให้เราได้กว้างขึ้นจริงๆ ครับ
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments