โอ้ยยย พูดถึงเรื่องสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเล็กๆ นี่นะ ผมนี่กุมขมับเลยตอนแรก คือใครๆ ก็บอกว่าให้เริ่มเร็วๆ มันดี แต่เอาเข้าจริง มันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยว่ะครับ
ตอนผมเริ่มนะ ก็เหมือนคนอื่นๆ แหละ ลองมันไปซะทุกอย่างที่เค้าว่าดี

- ไปโหลดแอปพลิเคชันสอนภาษาในมือถือมา ไม่รู้กี่สิบแอปฯ อันไหนดัง อันไหนรีวิวดี จัดมาหมด
- ซื้อหนังสือภาพสีสวยๆ นิทานสองภาษา หวังว่าลูกจะชอบ เปิดๆ ดูแล้วก็ซึมซับไปเอง
- เปิดเพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กให้ฟังทั้งวันเลยครับ ตั้งแต่ตื่นยันนอน คิดว่าเดี๋ยวมันก็เข้าหูไปเอง
- บางทีก็ฮึดสู้ ลองเอาวิธีที่เราเคยเรียนสมัยก่อนมาสอนเลยนะ A B C ท่องศัพท์เป็นคำๆ นี่แหละ
แต่เชื่อมั้ยครับ…มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยสักนิด ไอ้ที่เราคิดว่าดีเนี่ย ลูกไม่เอาด้วยก็มีเยอะแยะ
ไอ้แอปฯ ที่โหลดมาเยอะๆ น่ะ บางอันลูกก็เอาแต่กดเล่นเกม ไม่ได้สนใจเนื้อหาภาษาอังกฤษเลยสักนิด บางอันก็ยากไป ลูกกดมั่วๆ แล้วก็เบื่อ โยนทิ้ง
หนังสือภาพสวยๆ ที่ซื้อมาแพงๆ น่ะเหรอครับ ลูกชายผมเปิดดูอยู่สองสามครั้ง พลิกๆๆ แล้วก็วาง บอก “ไม่เอาแล้ว” จบข่าว!
ส่วนเพลงภาษาอังกฤษที่เปิดกรอกหูทั้งวันน่ะ ถามว่าร้องตามได้มั้ย? บางเพลงก็ฮัมๆ ตามได้นะ แต่พอถามว่า “คำนี้แปลว่าอะไรลูก” เท่านั้นแหละ…เงียบกริบ มองตาปริบๆ
ยิ่งไอ้ตอนที่ลองสอนแบบท่องศัพท์ A B C นะ ลูกทำหน้าเหมือนจะถูกบังคับกินยาขมเลยครับ ไม่สนุก ไม่มีความสุข แล้วมันจะไปจำได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย?
ผมก็มานั่งคิด นั่งกลุ้มอยู่พักใหญ่เลยนะ ว่าจะเอายังไงดีวะ ทำไมมันยากเย็นขนาดนี้ จนกระทั่งวันนึง ผมสังเกตเห็นลูกชายผมมันนั่งดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเรื่องนึงในยูทูบแบบตั้งอกตั้งใจมาก ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เปิดให้ดูเป็นประจำนะ แต่มันไปเจอของมันเอง แล้วมันก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับมุกในการ์ตูน ทั้งๆ ที่ซับไตเติลก็ไม่มี
เออ…ตอนนั้นเหมือนมีอะไรปิ๊งขึ้นมาในหัวเลยครับ! หรือว่าจริงๆ แล้ว เราพยายาม “ยัดเยียด” ความเป็นวิชาการให้ลูกมากเกินไปหรือเปล่า? เราลืมไปหรือเปล่าว่าเด็กก็คือเด็ก เค้าเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่นและความสนุก

เปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมดเลยครับทีนี้
ผมเลยตัดสินใจโยนตำราเก่าๆ ทิ้งไปก่อน (เก็บไว้ในใจนะ ไม่ได้ทิ้งจริง ฮ่าๆ) แล้วเริ่มปฏิบัติการใหม่ โดยมีหลักการง่ายๆ คือ
“เน้นความสนุกเป็นที่ตั้ง ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมชาติในชีวิตประจำวัน”
แล้วผมทำยังไงบ้างน่ะเหรอครับ ก็ตามนี้เลย:
- หาการ์ตูนหรือรายการที่ลูกชอบจริงๆ แล้วเปิดเป็นเวอร์ชันภาษาอังกฤษให้ดูครับ แรกๆ อาจจะมีซับไทยบ้าง หลังๆ ก็ลองแบบไม่มีซับบ้าง สลับๆ กันไป ไม่ต้องซีเรียสว่าลูกจะเข้าใจทุกคำ แค่ให้เค้าคุ้นเคยกับสำเนียงและจังหวะของภาษา
- เล่นเกมง่ายๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ชี้ภาพแล้วให้ทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ (เอาศัพท์ง่ายๆ รอบตัวก่อน) หรือเล่นเกมทายสี ทายสัตว์ เป็นภาษาอังกฤษ
- เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ทำอาหาร วาดรูป เล่นของเล่น ผมก็จะพยายามสอดแทรกคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ เข้าไปแบบเนียนๆ เช่น “Pass me the red crayon, please.” หรือ “This is a big car!” ไม่ต้องเป็นประโยคยาวๆ เอาแค่เป็นคำๆ ก็ได้
- ไม่เน้นแกรมมาร์เป๊ะเว่อร์ในช่วงแรกๆ ครับ ลูกพูดผิดพูดถูก ผมไม่ดุไม่ว่าเลย ขอแค่ให้เค้ากล้าที่จะพูด กล้าที่จะลองใช้คำศัพท์ที่รู้ ผิดก็แค่แก้ให้แบบขำๆ ไม่ใช่การจับผิด
- ให้คำชมเยอะๆ เวลาเค้าพยายามพูดภาษาอังกฤษ แม้จะพูดได้แค่คำเดียว หรือพูดติดๆ ขัดๆ ผมก็จะชมว่า “เก่งมากเลยลูก!” “เยี่ยมไปเลย!” เพื่อสร้างกำลังใจ
- อ่านนิทานภาษาอังกฤษให้ฟังก่อนนอน เลือกเรื่องที่ภาพสวยๆ เนื้อเรื่องสนุกๆ อ่านด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น บางทีก็ชี้ชวนให้ดูภาพแล้วถามเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ
ถามว่าผลลัพธ์เป็นยังไง…มันไม่ได้แบบ โอ้โห ลูกพูดไฟแลบปร๋อภายในสามวันเจ็ดวันนะโว้ย! มันต้องใช้เวลา
แต่สิ่งที่ผมเห็นชัดเจนมากๆ คือ ลูกผมไม่กลัวภาษาอังกฤษอีกต่อไปแล้ว เค้าไม่ได้มองว่ามันคือ “วิชาเรียน” ที่น่าเบื่อ แต่เค้ามองว่ามันคืออีกหนึ่งช่องทางในการดูการ์ตูนสนุกๆ หรือเล่นเกมกับพ่อ
เดี๋ยวนี้เค้าเริ่มฮัมเพลงภาษาอังกฤษที่เคยฟังได้เอง บางทีก็มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลุดออกมาจากปากเองบ้างเวลาเล่น เช่น “Wow! Spider!” หรือ “I want milk.” ถึงจะยังไม่เป็นประโยคยาวๆ หรือถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เป๊ะๆ แต่แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วนะ
ผมว่านะ การแก้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเนี่ย มันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวเหมือนสูตรคูณหรอกครับ แต่ละบ้าน แต่ละคน ก็มีวิธีที่เหมาะกับตัวเองต่างกันไป มันคือการลองผิดลองถูก สังเกตลูกเราเยอะๆ ว่าเค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วก็ค่อยๆ ปรับวิธีการของเราไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ผมก็ยังทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ครับ ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปเลย ก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยังไม่จบสิ้น แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วล่ะครับ ฮ่าๆๆ ใครมีวิธีเด็ดๆ ก็มาแชร์กันได้นะครับ!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments