toeic กับ ielts ต่างกันยังไง เลือกสอบอันไหนดีนะ
toeic กับ ielts ต่างกันยังไง เลือกสอบอันไหนดีนะ
Share:

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับเรื่องของการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษยอดฮิตสองตัวนี้ นั่นก็คือ TOEIC กับ IELTS เนี่ยแหละครับ ผมเองก็เคยผ่านสนามสอบทั้งสองอันนี้มาแล้ว เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังกันแบบบ้านๆ จากประสบการณ์จริงล้วนๆ

จุดเริ่มต้นของการต้องไปสอบ

เรื่องมันเริ่มมาจากตอนที่ผมทำงานอยู่ที่เก่าครับ อยู่ๆ บริษัทก็มีนโยบายใหม่ขึ้นมาว่า พนักงานในตำแหน่งที่ผมทำอยู่เนี่ย จะต้องมีผลคะแนน TOEIC ประกอบการพิจารณาอะไรสักอย่างนี่แหละ ตอนนั้นก็งงๆ นิดหน่อย เพราะปกติก็ใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานบ้างอยู่แล้ว แต่พอมีเกณฑ์คะแนนเข้ามา ก็เลยต้องเริ่มมองหาที่สอบ ดูแนวข้อสอบกันเลยทีเดียว

toeic กับ ielts ต่างกันยังไง เลือกสอบอันไหนดีนะ

ลงสนาม TOEIC ครั้งแรก

การเตรียมตัว: บอกตามตรงว่าตอนนั้นก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากเลยครับ อาศัยว่าพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง ก็ไปซื้อหนังสือแนวข้อสอบ TOEIC มาลองทำดูสักสองสามชุด จับเวลาจริงจัง เน้นไปที่พาร์ทฟัง (Listening) กับพาร์ทอ่าน (Reading) เพราะ TOEIC ที่สอบกันทั่วไปมันมีแค่นี้แหละครับ ส่วนใหญ่จะเป็น Multiple Choice ให้เลือกตอบ

วันสอบจริง: ตื่นเต้นนิดหน่อยครับ เพราะเป็นครั้งแรกที่สอบอะไรแบบนี้ในสนามจริง บรรยากาศในห้องสอบก็ค่อนข้างจะเงียบกริบ มีแต่เสียงปากกา เสียงพลิกกระดาษ พาร์ทฟังนี่ต้องตั้งสติดีๆ เลยครับ เพราะมันพูดเร็วแล้วก็ผ่านไปเลย ไม่มีให้ฟังซ้ำ ส่วนพาร์ทอ่านก็แข่งกับเวลาครับ บทความยาวๆ คำศัพท์ยากๆ ก็มีบ้าง ต้องบริหารเวลาให้ดี

ผลลัพธ์: พอผลออกมา ก็ถือว่าพอใจในระดับหนึ่งครับ คะแนนที่ได้ก็เกินเกณฑ์ที่บริษัทต้องการนิดหน่อย ตอนนั้นก็คิดว่า เออ TOEIC มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดแฮะ เน้นความไวกับความแม่นยำในการจับใจความสำคัญ ถ้าถามว่าคะแนนประมาณไหนดี ผมว่าถ้าได้สัก 700 อัพก็โอเคแล้วนะ สำหรับหลายๆ ที่ทำงาน แต่ถ้าจะให้ดีๆ หน่อยก็ต้อง 800+ ยิ่งถ้าได้ 900 นี่คือเทพเลยครับ ตอนนั้นผมก็ได้แถวๆ 700 ปลายๆ ก็ถือว่าเอาตัวรอดไปได้

แล้ว IELTS ล่ะ มายังไง?

หลังจากผ่าน TOEIC ไปได้สักพักใหญ่ๆ ผมก็เริ่มมีความคิดอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ หรืออาจจะมองหาโอกาสในการทำงานในบริษัทต่างชาติที่มันจริงจังกว่าเดิม คราวนี้แหละครับ TOEIC อย่างเดียวอาจจะไม่พอแล้ว เพราะหลายๆ ที่ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานที่ต้องการวัดระดับภาษาแบบครอบคลุมทุกทักษะ เค้าจะมองหาคะแนน IELTS กัน

ความแตกต่างที่สัมผัสได้: พอเริ่มศึกษาข้อมูล IELTS เท่านั้นแหละครับ โอ้โห… มันคนละเรื่องกับ TOEIC เลย IELTS นี่มันวัดครบทั้ง 4 ทักษะเลยครับ คือ ฟัง (Listening), พูด (Speaking), อ่าน (Reading), และ เขียน (Writing)

  • Listening: คล้ายๆ TOEIC แต่มีความหลากหลายของสำเนียงมากกว่า แล้วก็มีคำถามหลายแบบ ไม่ใช่แค่ Multiple Choice
  • Reading: บทความยาวและมีความเป็นวิชาการมากกว่า TOEIC คำศัพท์ก็ยากขึ้นไปอีกระดับ
  • Writing: อันนี้แหละครับที่หินเลยสำหรับผม มีสองส่วน ส่วนแรกคือการเขียนอธิบายกราฟ ตาราง หรือแผนภาพ ส่วนที่สองคือการเขียนเรียงความแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่กำหนดให้
  • Speaking: อันนี้ก็เป็นอีกพาร์ทที่ท้าทายมาก คือการสอบพูดกับ Examiner ตัวเป็นๆ เลยครับ มีสามส่วน ตั้งแต่แนะนำตัว พูดคุยเรื่องทั่วไป จนถึงการพูดในหัวข้อที่จับสลากได้ และตอบคำถามเชิงลึก

ประสบการณ์ตรงกับการสอบ IELTS

การเตรียมตัว: คราวนี้ผมเตรียมตัวหนักกว่าเดิมเยอะมากครับ ไปลงคอร์สเรียน IELTS โดยเฉพาะเลย เพื่อให้เข้าใจรูปแบบข้อสอบและเทคนิคต่างๆ ฝึกเขียนเยอะมาก ฝึกพูดกับเพื่อน กับอาจารย์ พยายามหาบทความภาษาอังกฤษมาอ่านเยอะๆ แล้วก็ฝึกฟังข่าวภาษาอังกฤษทุกวัน

วันสอบจริง: ตื่นเต้นกว่าสอบ TOEIC หลายเท่าครับ โดยเฉพาะพาร์ท Speaking นี่แหละตัวดีเลย นั่งคุยกับ Examiner ตัวต่อตัว โอ๊ยยย ตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูกไปบ้าง แต่ก็พยายามคุมสติแล้วก็พูดออกไปให้ได้มากที่สุด ส่วนพาร์ท Writing ก็ปาดเหงื่อเหมือนกันครับ เวลามันบีบจริงๆ ต้องคิดแล้วก็เขียนออกมาให้ทัน

toeic กับ ielts ต่างกันยังไง เลือกสอบอันไหนดีนะ

ผลลัพธ์: คะแนน IELTS ที่ออกมา ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะเอาไปยื่นเรียนต่อได้ครับ แต่ก็ไม่ได้สูงลิ่วอะไรมากมาย มันทำให้ผมรู้เลยว่าทักษะการเขียนกับการพูดของผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ

สรุปจากประสบการณ์ส่วนตัว

ถ้าให้ผมสรุปแบบง่ายๆ จากที่เคยลองมาทั้งสองอย่างนะครับ:

TOEIC:

  • เน้นวัดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันและการทำงานทั่วไป
  • ส่วนใหญ่เป็น Listening กับ Reading (แบบ 2 ทักษะ)
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้คะแนนยื่นสมัครงานในบริษัท หรือองค์กรในประเทศหลายๆ แห่ง
  • ความยากจะเบากว่า IELTS พอสมควร เน้นความเร็วและความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ

IELTS:

  • วัดครบทั้ง 4 ทักษะ: Listening, Reading, Writing, Speaking
  • มีความเป็นสากลมากกว่า ใช้ยื่นเรียนต่อต่างประเทศ ย้ายถิ่นฐาน หรือสมัครงานในบริษัทต่างชาติที่ต้องการทักษะภาษาอังกฤษขั้นสูง
  • เนื้อหาและคำศัพท์มีความเป็นวิชาการมากกว่า
  • ยากกว่าและต้องเตรียมตัวหนักกว่า TOEIC โดยเฉพาะพาร์ท Writing กับ Speaking

สุดท้ายแล้วจะเลือกสอบอันไหน มันก็แล้วแต่เป้าหมายของแต่ละคนเลยครับ ถ้าแค่ต้องการใช้ในไทยทั่วไป TOEIC ก็อาจจะเพียงพอและเตรียมตัวง่ายกว่า แต่ถ้ามองหาโอกาสที่กว้างขึ้น ทั้งเรื่องเรียนต่อ หรือการทำงานในระดับสากล IELTS ก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าครับ

หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังตัดสินใจว่าจะสอบอะไรดีนะครับ ลองดูเป้าหมายของตัวเองเป็นหลัก แล้วก็ลุยเลยครับ!

ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติ สำหรับเด็กและเยาวชนอายุ 3 ถึง 18 ปีโดยเฉพาะ

เราจะมอบคาบเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติให้คุณฟรี 1 คาบ พร้อมแบบทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

This field is required.
This field is required.
กรุณากรอกข้อความของคุณที่นี่ โปรดให้สั้นและชัดเจน
ช่องทางการติดต่อที่ต้องการ
คุณต้องการให้เราติดต่อคุณอย่างไร?