ช่วงนั้นจำได้แม่นเลยทุกคนเอ๊ย จู่ๆ ก็ต้องโดนสั่งให้ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย อะไรคือ ‘กักตัว’ แล้วไอ้ภาษาฝรั่งที่เขาพูดกันโครมๆ ในทีวีล่ะ? ‘ควอรันทีน’ งี้ ‘โซเชียล ดิสแทนซิ่ง’ งี้ ฟังแล้วก็ได้แต่เกาหัวแกรกๆ
ทีนี้พอต้องกักตัวจริงๆ จังๆ เนี่ยสิ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะเว้ย วันๆ ไม่ได้ออกไปไหนเลย อึดอัดก็อึดอัด แต่ก็เออ…ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตไปอีกแบบ แล้วไอ้คำภาษาอังกฤษพวกนี้มันก็วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เพราะข่าวสารบ้านเราก็ประโคมกันหนักมาก ทั้งจากแหล่งข่าวไทยแหล่งข่าวเทศ

แล้วด้วยความที่ว่างจัดไง บวกกับความอยากรู้ส่วนตัวด้วยแหละ ว่าไอ้ที่เราโดนๆ กันอยู่นี่ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่าอะไรบ้างนะ จะได้อินเทรนด์กับเขาหน่อย (ฮา) ก็เลยลองไปค้นๆ ดูว่าไอ้คำศัพท์พวกนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ในภาษาอังกฤษ ถือซะว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้วกัน
ช่วงเวลาแห่งการค้นคว้าส่วนตัวของผม
ปฏิบัติการแรกของผมเลยนะ คือเริ่มจากคำเบสิกๆ ที่ได้ยินบ่อยสุดๆ ก่อนเลย อย่างเช่น:
- Quarantine (ควอรันทีน): โอ้โห คำนี้เจอบ่อยสุดๆ ตอนแรกก็งงๆ ว่ามันต่างจากคำอื่นยังไง พอไปค้นดู อ๋อ มันคือการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ หรือกักกันคนเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ไอ้ที่เราโดนกันเต็มๆ นั่นแหละ
- Self-isolation (เซลฟ์-ไอโซเลชัน): อันนี้จะคล้ายๆ กัน แต่เหมือนจะเน้นว่าถ้าตัวเองมีอาการ หรือสงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือไปใกล้ชิดคนป่วยมา ก็ต้องแยกตัวเองออกจากคนอื่นเลยทันที ประมาณว่ารับผิดชอบตัวเองสุดๆ
- Lockdown (ล็อกดาวน์): คำนี้ได้ยินจนเบื่อเลยช่วงนั้น ก็คือการปิดเมือง ปิดประเทศ จำกัดการเดินทาง ห้ามนั่นห้ามนี่เต็มไปหมด เพื่อควบคุมการระบาดไงล่ะ
- Social distancing (โซเชียล ดิสแทนซิ่ง): การเว้นระยะห่างทางสังคม ที่เขาให้ยืนห่างๆ กันอย่างน้อยเมตรสองเมตรนั่นแหละ แรกๆ ก็ไม่ชิน หลังๆ นี่กลายเป็นความเคยชินไปเลย
พอเริ่มจับทางได้นะ ก็เริ่มสนุกแล้วว่ะ คราวนี้ก็ไปต่อเลย พวกคำที่เกี่ยวกับอาการป่วย หรือการตรวจต่างๆ เพราะมันสำคัญมากถ้าเราต้องสื่อสารหรือฟังข่าว:
- Symptoms (ซิมป์ทอมส์): แปลว่า อาการป่วยต่างๆ เช่น มีไข้ (fever) ไอ (cough) เจ็บคอ (sore throat) หายใจลำบาก (difficulty breathing) อะไรพวกนี้
- Test (เทสต์): ก็คือการตรวจหาเชื้อนั่นเอง มีทั้งตรวจแบบแยงจมูก (swab test) หรือบางทีก็ตรวจจากเลือด
- Positive (โพสิทีฟ) / Negative (เนกาทีฟ): อันนี้สำคัญเลย ถ้าผลตรวจออกมาเป็น ‘โพสิทีฟ’ ก็คือติดเชื้อจ้า แต่ถ้า ‘เนกาทีฟ’ ก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง
แล้วก็มีอีกคำที่ฮิตติดลมบนมากช่วงนั้น Work from Home (เวิร์ค ฟรอม โฮม) หรือ WFH ที่เราเรียกกันติดปาก ใครๆ ก็ต้องทำ ไม่เว้นแม้แต่ผม ฮ่าๆๆ นั่งทำงานอยู่บ้านไป ดูซีรีส์ไป สลับกับหาอะไรกิน ชีวิตมันก็วนลูปอยู่แค่นั้นจริงๆ
ประสบการณ์จริงกับการใช้คำเหล่านี้ (นิดๆ หน่อยๆ)
เอาจริงๆ นะ ถึงจะค้นคว้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจถึงขั้นพูดปร๋ออะไรหรอกนะ แต่มันก็มีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ นะ อย่างน้อยก็พอให้เข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น เวลาอ่านข่าวภาษาอังกฤษ หรือฟังประกาศอะไรแบบนี้ ก็พอจะเดาๆ ได้ว่าเขาพูดถึงอะไร
มีอยู่วันนึงต้องไปรับของที่สั่งออนไลน์ไว้ แล้วคนส่งของเป็นชาวต่างชาติพอดี เขาถามมาง่ายๆ ว่า “Everything okay? No symptoms?” ตอนนั้นถ้าไม่ได้ผ่านหูผ่านตาคำว่า ‘symptoms’ มาบ้างนะ มีหวังยืนเกาหัวแน่ๆ นี่ก็เลยตอบไปแบบกระท่อนกระแท่นว่า “Yes, okay, no symptoms.” เขาก็พยักหน้าแล้วก็ส่งของให้ เออ…มันก็แค่นี้แหละ แต่ก็รู้สึกดีนะที่พอจะสื่อสารกันได้บ้าง
อีกเรื่องก็คือตอนตามข่าวต่างประเทศ พวกสำนักข่าวใหญ่ๆ เนี่ย โอ้โห ศัพท์เฉพาะทางมาเต็ม แต่พอเราเริ่มคุ้นกับคำพื้นฐานพวกนี้แล้ว มันก็ช่วยให้พอจะจับใจความได้บ้างนะ ว่าสถานการณ์โลกมันไปถึงไหนแล้ว โรคระบาดมันเป็นยังไง ไม่ใช่แค่ฟังเขาเล่ามาอย่างเดียวแล้วเชื่อทั้งหมด

สรุปแล้วนะ ไอ้การกักตัวรอบนั้นน่ะ ถึงมันจะน่าเบื่อ น่าอึดอัด โคตรจะเซ็งเลยก็ว่าได้ แต่ในความเซ็งนั้นมันก็มีมุมเล็กๆ ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนั้นโดยตรงเลย ซึ่งมันก็มีประโยชน์จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่รู้ไว้เท่ๆ แต่มันช่วยให้เราเข้าใจโลกรอบตัวได้ดีขึ้นด้วย ใครจะไปคิดว่าคำว่า ‘กักตัว’ มันจะพาเราไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ขนาดนี้ ฮ่าๆๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในช่วงเวลาแย่ๆ ละกันเนอะ อย่างน้อยก็มีเรื่องมานั่งโม้ให้พวกคุณฟังได้นี่แหละ!
ค้นหาคอร์สที่เหมาะกับคุณ
0 Comments